หัวหมอจนเป็นเรื่อง!
งานนี้บอกได้คำเดียวว่า มันจะไม่ต่างอะไรกับตุ่มอีสุกอีใสเม็ดหนึ่งแตกแล้วลามขึ้นทั้งตัว เพราะยังมีรถอีกหลายยี่ห้อที่มีความสัมพันธ์กับค่ายโฟล์คสวาเกน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงเลยแหละ ที่รถเหล่านั้นอาจจะโดนตรวจเจออะไรในทำนองเดียวกัน
–ตามกระแสโลก–
รัฐบาลเยอรมันภายใต้ อังเกลา แมร์เคิล สตรีผู้ทรงอำนาจมากที่สุดในโลก ต้องเสียวสันหลังวาบกันเลยทีเดียว หลังค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง โฟล์คสวาเกน อาจต้องสูญเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเป็นค่าปรับกรณีโดนจับโกงเรื่องค่ามลพิษ
โดยเรื่องอื้อฉาวนี้ เริ่มถูกเปิดโปงเมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งคณะกรรมการด้านคมนาคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ หรือ ICCT ตรวจสอบพบว่า โฟล์คได้ทำการติดตั้งโปรแกรมหลอกค่าการปล่อยไอเสียให้กับรถเครื่องยนต์ดีเซล
ซึ่งประเด็นตรงนี้ นายมาร์ติน วินเทอร์คอร์น อดีตซีอีโอที่เพิ่งลาออกไป ได้ออกมายอมรับว่าโฟล์คได้ทำการติดตั้งซอฟท์แวร์ชนิดนี้จริง เพียงแต่ไม่มีเจตนาจะใช้เพื่อการทุจริตใดๆ ทั้งสิ้น และตัวเขาเองก็ไม่เคยรับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย
แต่ดูแล้ว เรื่องทั้งหมดทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นจากความจงใจของบริษัทนั่นแหละ ที่ต้องการหาวิธีเพื่อทำให้ตัวเองได้จ่ายภาษีสรรพสามิตน้อยที่สุด อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจในการซื้อผลิตภัณฑ์รถยนต์ของบริษัทให้มีเพิ่มมากขึ้น
เพราะด้วยวิธีนี้ จะทำให้กลุ่มผู้ใช้ที่คลั่งไคล้ในเครื่องยนต์ประเภทเร่งแรงแซงทางโค้งอย่างเครื่องดีเซลเทอร์โบ รู้สึกว่า ได้รับในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ และไม่ถือเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมมากจนเกินมาตรฐานนัก
อย่างไรก็ดี ผลพวงที่ตามมา จากความคิดอันสุดแสนจะบรรเจิดของผู้บริหารโฟล์คในครานี้คือ บริษัทอาจต้องเสียค่าปรับสูงถึงเกือบ 7 แสนล้านบาท ให้กับสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ หรือ EPA โดยที่ค่าปรับก้อนนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
เพราะนอกจากนี้ คงจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากประเทศอื่นๆ ออกมาฟ้องร้องเอาความกับบริษัทกันอย่างอุตลุดเป็นแน่แท้ โดยที่โจทก์เจ้าต่อไป คงไม่พ้นประเทศผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่งอย่าง ฝรั่งเศส หรือ ญี่ปุ่น ซึ่งมีการนำเข้ารถยนต์โฟล์คมาใช้เหมือนกัน
งานนี้ ตัวเลขที่โฟล์คต้องไปชดใช้ ให้กับการทำลายสิ่งแวดล้อมในหลายๆประเทศด้วยวิธีบิดเบือนความจริง น่าจะไม่ต่ำกว่าระดับล้านล้านบาท ซึ่งประเด็นตรงนี้ได้สร้างความกังวลว่า มันอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจเยอรมันได้
เนื่องจากปัจจุบัน โฟล์คมีการจ้างงานในประเทศราว 3 แสนตำแหน่ง หรือคิดเป็นเกือบ 1% ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศ ซึ่งประเด็นปัญหาตรงนี้อาจส่งผลให้บริษัทมีความจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ การที่โฟล์คเป็นผู้กินส่วนแบ่งตลาดของการส่งออกรถยนต์มากที่สุด อาจทำให้เป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมันที่ตั้งไว้ประมาณ 2% ดูไม่น่าจะเกิดขึ้นง่ายๆซะแล้ว
โดยปัจจุบัน เซคเตอร์รถยนต์สร้างรายได้ให้กับประเทศถึงเกือบ 9 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 20% ของรายได้จากการส่งออกเลยทีเดียว แล้วลองคิดดูซิ หากงานนี้เกิดกระแสต่อต้านรถโฟล์คขึ้นมา จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจเยอรมันขนาดไหน??
อีกทั้ง งานนี้บอกได้คำเดียวว่า มันจะไม่ต่างอะไรกับตุ่มอีสุกอีใสเม็ดหนึ่งแตกแล้วลามขึ้นทั้งตัว เพราะยังมีรถอีกหลายยี่ห้อที่มีความสัมพันธ์กับค่ายโฟล์คสวาเกน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงเลยแหละ ที่รถเหล่านั้นอาจจะโดนตรวจเจออะไรในทำนองเดียวกัน
ตอนท้ายนี้ หากพูดถึงเรื่องหุ้นไทยตัวไหนจะได้รับหรือเสียประโยชน์จากเรื่องราวตรงนี้ คงต้องขอสรุปง่ายๆว่า ใครเป็นซัพพลายเออร์ของค่ายที่มีปัญหาและมีแนวโน้มจะขายรถได้น้อยลง กับ ใครเป็นซัพพลายเออร์ของค่ายที่ไม่มีปัญหาและมีแนวโน้มจะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น ก็ตามนั้นแหละ!