
“สี จิ้นผิง” แถลงครั้งแรก ลั่นจีนไม่หวั่น ขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ 125% ตอบโต้ “ทรัมป์”
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แถลงต่อสาธารณชนครั้งแรกท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ย้ำ “ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า” พร้อมยืนกรานว่า จีนจะไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดัน
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานวันนี้ (11 เม.ย. 68) ว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ออกแถลงการณ์สาธารณะครั้งแรกเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระลอกใหม่กับสหรัฐอเมริกา โดยกล่าวว่า “ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า” และยืนยันว่าจีนพร้อมยืนหยัดหากเผชิญกับแรงกดดันที่ไม่เป็นธรรม
คำแถลงนี้เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลจีนประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นอัตราสูงสุด 125% เพื่อตอบโต้การที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนรวมสูงถึง 145% โดยจีนยืนยันว่าจะไม่ขยับภาษีเกินระดับที่ประกาศไว้ พร้อมระบุว่า การเพิ่มภาษีอย่างต่อเนื่องเป็นเพียง “เกมตัวเลข” ที่ไม่มีความหมายในเชิงเศรษฐกิจ
ขณะที่โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังใช้นโยบายภาษีเป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ” เพื่อกดดันและบีบบังคับคู่ค้ารายอื่น พร้อมชี้ว่าแนวทางเช่นนี้จะทำให้สหรัฐฯ เสียภาพลักษณ์และกลายเป็นที่น่าขันในเวทีระหว่างประเทศ
ผู้นำจีนยังกล่าวระหว่างการพบปะกับ นายเปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน ที่กรุงปักกิ่งว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า และเตือนว่าแนวคิดต่อต้านกระแสโลกจะนำไปสู่การโดดเดี่ยวตัวเอง พร้อมเน้นย้ำว่า จีนพัฒนาเศรษฐกิจมาจากการพึ่งพาตนเองและความขยันหมั่นเพียร ไม่เคยพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก
สถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนรายงานคำพูดของสี จิ้นผิง ว่า “ตลอดเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมา จีนเติบโตขึ้นจากการพึ่งพาตนเองและความขยันหมั่นเพียร ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร และเราก็ไม่เกรงกลัวต่อการกลั่นแกล้งทางเศรษฐกิจ”
แม้จีนยืนยันว่าจะไม่ขึ้นภาษีเพิ่มเติม แต่ก็ยังมีเครื่องมือตอบโต้ทางเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นที่พร้อมใช้งาน โดยนักวิเคราะห์ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลจีนเสนอแนวทางต่าง ๆ เช่น ระงับความร่วมมือด้านเฟนทานิล (ยาเสพติดอันตราย), แบนการนำเข้าเนื้อไก่จากสหรัฐฯ, จำกัดการเข้าถึงตลาดบริการต่าง ๆ อาทิ ที่ปรึกษากฎหมาย และสอบสวนรายได้จากทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐฯ ในจีน
ก่อนหน้านี้จีนได้ปรับขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ แล้วรวม 84% และมีมาตรการอื่นควบคู่ เช่น การจำกัดการเข้าทำธุรกิจของบริษัทอเมริกันบางรายในจีน, ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีลักษณะใช้สองทาง (dual-use goods) รวมถึงการระงับการนำเข้าภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในครั้งนี้ยิ่งสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และยังไม่มีวี่แววว่าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงคลี่คลายวิกฤตในเร็ววัน
ขอบคุณภาพข่าว : Xinhua Thai