SET บ่ายแกว่งตัวในกรอบ 1,525-1,535 จุด แนะสอย 6 หุ้นเป้าหมายไหลเข้าของเงินทุน

SET บ่ายแกว่งตัวในกรอบ 1,525-1,535 จุด แนะติดตามถ้อยแถลงนายกฯญี่ปุ่นในวันพรุ่งนี้ และในวันที่ 4 ส.ค.ติดตามประชุม BoE โบรกฯแนะ “ซื้อ” กลุ่มหุ้นที่เป็นเป้าหมายการไหลเข้าของเงินทุน นำโดย AOT, ADVANC, SCC, KTB, BJC และ CPALL


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ภาคเช้า (1 ส.ค.) ปรับตัวขึ้นตามภูมิภาคหลัง GDP สหรัฐไตรมาส 2/59 โต 1.2% เทียบไตรมาสก่อนหน้า แย่กว่าที่ตลาดฯคาดว่าจะเติบโต 2.6% มองโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยเป็นไปได้น้อย กระแสเงินทุนยังไหลเข้าต่อเนื่องและค่าเงินบาทแข็ง แนะติดตามถ้อยแถลงนายกฯญี่ปุ่นพรุ่งนี้และในวันที่ 4 ส.ค.ติดตามประชุม BoE เล็งลดดอกเบี้ย บ่ายนี้ตลาดฯคงแกว่งตัวในกรอบ 1,525-1,535 จุด

 

นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเอเชียที่ต่างบวกถ้วนหน้า ภายหลังตัวเลข GDP ของสหรัฐฯงวดไตรมาส 2/59 ออกมาเติบโต 1.2% เทียบไตรมาสก่อนหน้า แย่กว่าที่ตลาดฯคาดว่าจะเติบโต 2.6% ทำให้มองว่าโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดน้อยลง ตลาดฯจึงตอบรับในเชิงบวกได้

นอกจากนี้ กระแสเงินทุนคงจะยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย โดยวันนี้เงินบาทก็ยังคงแข็งค่า อย่างไรก็ดี พรุ่งนี้ให้ติดตามถ้อยแถลงของนายกฯญี่ปุ่นเกี่ยวกับรายละเอียดของการใช้งบฯ 28 ล้านล้านเยนตามมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนวันที่ 4 ส.ค.) จะมีการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps เป็น 0.25% แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ ตลาดฯคงจะแกว่งตัวในกรอบ 1,525-1,535 จุด

 

บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (1 ส.ค.) ว่า  SET ปรับสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของปีอีกครั้งวันนี้ และด้วยความคาดหวังว่าการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ วันที่ 7 ส.ค.นี้จะเปิดทางให้เกิดการเลือกตั้งปลายปี 60 จะเป็นปัจจัยหนุนกระแสเงินทุน และการปรับสูงขึ้นของ SET ต่อไป โดยมีเป้าหมายระยะสั้นที่ 1,550 จุด (อาจมีแรงขายจากกองทุน Trigger Fund ประมาณ 3 พันล้านบาทที่บริเวณนี้)

ขณะที่เป้าหมาย 6 เดือนข้างหน้าที่ 1,620 จุด แนะนำ “ซื้อ” กลุ่มหุ้นที่เป็นเป้าหมายการไหลเข้าของเงินทุน อย่าง AOT ADVANC SCC KTB BJC และ CPALL (แนวต้าน 55/58 บาท)

ในขณะเดียวกันแนะนำ“ซื้อ” IRPC ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 6.60 บาท จาก 1) ราคาหุ้นที่ Underperform ตลาดมา 3 เดือน สะท้อนค่าการกลั่นสิงคโปร์ที่ต่ำไปแล้ว 2) Product Mix ของ IRPC ที่มีทั้งโรงงานปิโตรเคมี และโรงกลั่นน้ำมัน โดยเฉพาะโรงกลั่นที่มีสัดส่วน Product เป็นน้ำมันดีเซลที่ค่าการกลั่นสูง ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่นสิงคโปร์ที่ปรับลดลงอย่างที่เห็น 3) ผลการดำเนินงาน 2H/59 จะได้รับผลดีจากการ Upgrade โรงกลั่นผ่านโครงการ UHV ที่เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา และด้วย Product Mixed โรงกลั่นที่ดีขึ้นส่งผลให้เสถียรภาพกำไรของ IRPC ดีขึ้นในระยะยาว คาดกำไรปี 59 ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท +140% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 60 +18% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ PE 9.0x และ Div Yield 5.0% ยังถูกเกินไป

 

สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า  

BEM    มูลค่าการซื้อขาย 2,860.50 ล้านบาท ปิดที่   8.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท

KBANK  มูลค่าการซื้อขาย 1,360.94 ล้านบาท ปิดที่ 198.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

SCB    มูลค่าการซื้อขาย 1,221.19 ล้านบาท ปิดที่ 160.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

AAV    มูลค่าการซื้อขาย 1,020.05 ล้านบาท ปิดที่   6.70 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

SUPER  มูลค่าการซื้อขาย 1,001.65 ล้านบาท ปิดที่   1.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท

Back to top button