เคาะ 18 หุ้นเด็ด ปัจจัยบวกมาเต็ม SET เตรียมวัด 1,550

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อทดสอบ 1,550 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากภายในและนอกประเทศ ขณะที่ Fund Flow ต่างชาติและกองทุนในประเทศแนวโน้มยังเข้าซื้อต่อเนื่อง การลงทุนเน้นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้น และกลุ่มที่คาดว่าจะประกาศงบไตรมาส 2/59 ออกมาดี


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.19 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.95 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้ หลังดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืน แต่ขณะเดียวกันราคาน้ำมันwfhดีดตัวขึ้น ขานรับรายงานที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) เตรียมจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการในเดือน ก.ย. เพื่อหารือถึงแนวทางการสร้างเสถียรภาพในตลาดน้ำมัน

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อทดสอบ 1,550 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากภายในและนอกประเทศ ขณะที่ Fund Flow ต่างชาติและกองทุนในประเทศแนวโน้มยังเข้าซื้อต่อเนื่อง การลงทุนเน้นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้น และกลุ่มที่คาดว่าจะประกาศงบไตรมาส 2/59 ออกมาดี

หุ้นเด่นเลือก ADVANC-AOT-KTB-SCC-BJC-CPALL-HMPRO-GLOBAL-QH-MINT-CK-STEC-SEAFCO-BSBM-TPCH-IFEC-PTT และ PTTEP

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ส.ค.) ว่า SET ปรับสูงขึ้นแรง และมีโอกาสทดสอบเป้าหมายแรกที่ 1,550 จุด วันนี้ จากทั้งปัจจัยภายในประเทศ และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น 1) Political Driven หรือความชัดเจนทางการเมืองหลังประชามติ 2) Liquidity Driven มองดอกเบี้ยยังต่ำ, BOE ECB และ BOJ ใช้มาตรการ QE ต่อ และ 3) Earnings Driven หรือการปรับประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ เป้าหมายสิ้นปี 1,620 จุด (มีแนวต้านย่อยที่ 1,566/1,575 จุด)

แนะนำ “ซื้อ” กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากการบริโภค การลงทุนเร่งตัวขึ้นหลังมีความชัดเจน “เลือกตั้ง” ปลายปีหน้า รวมไปถึง Laggard Plays ที่นักลงทุนต่างชาติยัง ซื้อหุ้นไม่มาก

1) Big Cap ที่ต่างชาติยังซื้อไม่มาก : ADVANC AOT KTB SCC

2) การบริโภคเร่งตัว : BJC CPALL (PE 23.6 เท่าต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มค้าปลีก) HMPRO GLOBAL (กำไรครึ่งปีแรกของปี 59 คิดเป็น 65% ของกำไรทั้งปีแล้ว) QH (ราคาต่ำกว่า NAV ที่ 3.80 บาท ถึง 34%) และ MINT

3) เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน : CK STEC SEAFCO

 

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ส.ค.) คาด SET วันอังคารขึ้นต่อ แต่มีความเสี่ยงเผชิญแรงขายแถวระดับจิตวิทยา 1,550 (วานนี้ฟันด์โฟลว์ซื้อหนัก หลังรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ตามคาด) ปัจจัยในประเทศยังบวก หลัง นสพ. รายงาน คสช. กกต. และ กรธ. เตรียมหารือกำหนดเลือกตั้งภายในปี 2560 โดยหาทางย่นเวลาการร่างกฎหมายลูกจาก 8 เดือนเหลือ 4 เดือน ผนวกตัวเลขเศรษฐกิจยังมีทิศทางดี (นักเศรษฐศาสตร์ KGI คาด GDP ไตรมาส 2/59 โต 3.5% YoY และครึ่งหลังมองโตมากกว่า 3.5% YoY)

ด้านปัจจัยภายนอกเป็นกลาง หลังสัญญาเฟดฟันด์ฟิวเจอร์เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเร็วขึ้นเป็น ก.พ. 2560 (ซึ่งก็ยังอีกนาน ไม่น่ากดดันตลาด) และราคาน้ำมันรีบาวด์ ตามข่าวโอเปกเตรียมนัดประชุมนัดพิเศษใน ก.ย. เพื่อบริหารจัดการราคาน้ำมัน ทั้งนี้ KGI ยังคงมองเป้าดัชนีฯ ไตรมาสสามที่ 1,580 จุดอิง current PE band 18.5 เท่า (ซึ่งจะเทียบเท่ากับ forward PE2559 ที่ 16.6 เท่า เป็นระดับใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PE 7 ปี + 0.50 SD.)

หุ้นเด่นวันนี้ เก็งกำไร BSBM, TPCH (เป้า Consensus 22.1 บาท), IFEC (เป้าพื้นฐาน 13.4 บาท)

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ส.ค.) ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ SET น่าจะมีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,550 จุด แต่จะถูกขายเป็นระยะๆ จากโมเมนตัมในเชิงบวกหลังร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านประชามติ ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยมากที่สุดในภูมิภาคเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี รวมถึงนักลงทุนสถาบันในประเทศก็เข้าซื้อด้วยเช่นกันหลังจากที่ขายมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้นจึงยังเชื่อว่า Fund Flow ต่างชาติและกองทุนในประเทศน่าจะยังเข้าซื้อต่อเนื่องแต่อาจไม่มากเท่าวานนี้ ขณะเดียวกันปัจจัยภายนอกประเทศยังไม่มีอะไรที่เป็นลบ ภาวะตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยนในต่างประเทศค่อนข้างมีเสถียรภาพ สำหรับปัจจัยในประเทศจะอยู่ที่รายงานงบไตรมาส 2/59 คาดว่าจะประกาศในวันนี้กว่า 10 บริษัท อย่าง TKN SAT SPALI TASCO BCP KCE RATCH GFPT SPA

ส่วนหุ้นกลุ่มนำตลาดวันนี้จะเป็นกลุ่มน้ำมันอย่าง PTT และ PTTEP ที่ได้ผลบวกจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงหุ้นกลุ่ม Laggard ในกลุ่ม Big cap จะสร้างสีสันการเก็งกำไรระยะสั้น

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: Selective BUY/จังหวะที่ปรับขึ้นแรงขายทำกำไรเล่นรอบ และซื้อเมื่ออ่อนตัว

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น: PTT และ PTTEP (เป็นเป้าของ Fund Flow /ขานรับการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ)

Back to top button