SET INDEX กับ เอฟเฟ็กซ์ BOMB!
หลังจากเกิดเหตุการณ์วางระเบิด 11 จุดในพื้นที่ภาคใต้ เมื่อช่วงวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นพื้นที่ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่มีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มท่องเที่ยวเป็น Sector ที่สร้างรายได้ให้ประเทศรองจากการส่งออก ความน่าสนใจอีกประเด็นอยู่ที่ผลกระทบของตลาดหุ้นไทยที่จะเปิดทำการในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.)
หลังจากเกิดเหตุการณ์วางระเบิด 11 จุดในพื้นที่ภาคใต้ เมื่อช่วงวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นพื้นที่ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่มีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มท่องเที่ยวเป็น Sector ที่สร้างรายได้ให้ประเทศรองจากการส่งออก ความน่าสนใจอีกประเด็นอยู่ที่ผลกระทบของตลาดหุ้นไทยที่จะเปิดทำการในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.)
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ประเมินข้อมูลโดยย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยเทียบเคียงเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ ในช่วงค่ำวันที่ 17 ส.ค.58 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวนมาก โดยเหตุการณ์ระเบิดใจกลางเมืองหลวงส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของประเทศ
ภายหลังเกิดเหตุ SET Index เปิดทำการวันรุ่งขึ้น (18 ส.ค.58) ลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 1,362.31 จุด และปิดที่ระดับ 1,372.61 จุด ร่วงลงไป 36 จุด หรือ -2.6% โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ดัชนีหลุดจากระดับ 1,400 จุด ลงไปอย่างง่ายดาย ขณะที่มูลค่าซื้อขายสูงเกือบ 8 หมื่นล้านบาท เห็นได้ชัดเจนว่านักลงทุนมีความกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมาก แต่ยังมีบางกลุ่มเข้ามาทยอยซื้อหุ้นในลักษณะ “ถอยรับ” หรือ “ตั้งรับ”
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของดัชนีดังกล่าวไม่ได้เป็นการปรับตัวลงแค่วันเดียว โดยดัชนีปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันถัดมา (19 ส.ค.58) จากแรงช้อนซื้อเก็งกำไร ก่อนจะปรับลงต่อเนื่อง 3 วันทำการ ปิดที่ระดับต่ำสุดที่ 1,301.06 จุด และลงมาแตะระดับต่ำสุดที่ 1,292.14 จุด เมื่อวันที่ 24 ส.ค.58
ช่วงนั้นนักวิเคราะห์มองเหตุการณ์การระเบิดที่แยกราชประสงค์เป็นปัจจัยหลักกดดันตลาดหุ้นไทยที่ส่งผลให้ SET Index ปรับตัวลงอย่างรุนแรง จนถึงขนาดต้องเลื่อนการจัดงาน “Thailand Focus 2015” เลื่อนออกไปหลายเดือน ซึ่งปีนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะต้องมีการเลื่อนออกไปอีก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะส่งผลกระทบสั้น ขณะที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, โรงแรม และสายการบิน ก่อน เช่น AOT, ERW, CENTEL, MINT, BH, AAV, BA, NOK, THAI และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอย อาทิ CPN, ROBINS, BIGC, MAJOR ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากความกังวลว่าจะเกิดเหตุความไม่สงบส่งผลให้ประชาชนออกไปจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
สำหรับนักลงทุนที่คิดจะซื้อหุ้นในกลุ่มดังกล่าวแนะนำให้เลี่ยงการลงทุนไปก่อน ส่วนคนที่มีหุ้นอยู่แล้วควรหาแนวรับและแนวต้านจากกราฟหรือสอบถามนักวิเคราะห์เพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุน
…