SET พักฐาน ตลาดกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยเก็งหุ้นอาหาร-เครื่องดื่มครึ่งปีหลังมาแรง

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทย มีโอกาสซึมตัวลงจากความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และยังขาดปัจจัยชี้นำใหม่ การลงทุนแนะนำในกลุ่มที่นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายเป็นหลัก และกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีเช้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม หุ้นเด่นเลือก BJC-CPF-ROBINS-HMPRO-CBG และ TPCH


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.19 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.68 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลง หลังเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายคนส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากเงินเยนที่อ่อนค่าลง

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทย มีโอกาสซึมตัวลงจากความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และยังขาดปัจจัยชี้นำใหม่ การลงทุนแนะนำในกลุ่มที่นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายเป็นหลัก และกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีเช้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม หุ้นเด่นเลือก BJC-CPF-ROBINS-HMPRO-CBG และ TPCH

 

 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (22 ส.ค.) มีโอกาสที่จะซึมตัวลง เนื่องจากมีความกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก ได้ออกมาให้การสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งสอดคล้องกับประธานเฟดสาขาอื่นที่ออกมาพูดในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้โอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ สัปดาห์นี้จะมีหุ้นที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD หลายตัว ทำให้ไปกดดันตลาดฯได้ โดยคาดว่าจะมีผลต่อ SET ประมาณ 4 จุด ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมา 7 วันแล้ว ประมาณ 16% ทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจมีการขายล็อคกำไรไว้ก่อน จึงมีโอกาสที่หุ้นจะปรับฐานได้ ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย ราว 0.1-0.2% พร้อมให้แนวรับ 1,530-1,535 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ส.ค.) ว่า ความเสี่ยงจากการ “พักฐาน” ระยะสั้นยังไม่หมดไป ด้วยแนวรับ 1,533/1,520 จุด หรือถัดไปที่ 1,470 +/- จุด เนื่องจาก 1) ความไม่แน่นอนต่อการใช้นโยบายการเงินของ Fed หลังตัวเศรษฐกิจหลายๆ ตัวบ่งชี้ถึงการฟื้นตัว และความผันผวนจาก Brexit น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นจากถ้อยแถลง Janet Yellen ที่ Jackson Hole วันที่ 26 ส.ค.นี้ 2) สัญญาณเทคนิค ตาม Trade Code จะเห็นว่าหุ้นที่มีสัญญาณ “บวก” (Score 4-6) ลดลงเหลือ 50% ของ Market Cap จากจุดสูงสุดช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ 78%

แนะนำ “จำกัด” พอร์ตต่อเนื่อง ขณะที่สามารถ “Selective” กลุ่มหุ้นที่นักวิเคราะห์ (Consensus) มีแนวโน้มปรับประมาณการกำไร และเป้าหมายพื้นฐานขึ้น ได้แก่ 1) BJC (ต้นทุนการเงินที่ลดลงในไตรมาส 3/16 และการ Synergy กับ BIGC เป็น Upside ต่อประมาณการกำไร) 2) CPF (กำไรไตรมาส 2/16 ดีกว่าคาด ธุรกิจกุ้ง-ไก่ฟื้นตัว และผลดีทางอ้อมจากกำไร CPALL ที่ดีกว่าคาด) 3) ROBINS และ 4) HMPRO (ปรับกลยุทธ์ตาม Life Style ผู้บริโภคที่เปลี่ยน หนุนกำไรโต 18-20% ในปี 2016-17)

 

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ส.ค.) ว่า SET วันนี้แกว่งตัวลงแต่ไม่แรง ซึ่งตลาดการเงินมีความกังวลเกี่ยวกับดอกเบี้ยเฟดที่จะเพิ่มในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดจะชะลอเพื่อรอดูการแถลงใน 26 ส.ค.นี้ ขณะที่โฟลว์ต่างชาติยังซื้อสุทธิแต่ชะลอลงประคองดัชนี ส่วนในประเทศ หลังงบไตรมาส 2/16 รายงานครบแล้ว ภาพรวมอยู่ที่ +11.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และ +4.4% จากไตรมาสก่อน

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ส.ค.) คาด SET น่าจะผันผวนในกรอบแคบและซึมลงตามดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากยังขาดปัจจัยใหม่เข้าสู่ตลาด และนักลงทุนส่วนใหญ่จะเฝ้าติดตามรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของเดือนก.ค. และแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยเฉพาะประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯที่จะต้องติดตามถ้อยแถลงของ Yellen ที่ Jackson Holes และรายงาน GDP ไตรมาส 2/16 ที่ปรับปรุงครั้งที่ 2 ในวันศุกร์นี้ รายงาน PMI ในกลุ่มยูโรโซน และ CPI ของญี่ปุ่นในช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งตลาดเชื่อว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินของธนาคารของแต่ละประเทศที่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของตัวเองมาเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ยังต้องติดตามรายงานตัวเลขส่งออกไทยที่คาดว่าจะติดลบน้อยลงหรืออาจกลับเป็นบวกในวันที่ 25 ส.ค. รวมถึงตัวเลขยอดขายรถยนต์เดือนก.ค. ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ด้วย อย่างไรก็ตามวันนี้เชื่อว่าหุ้นกลุ่มพลังงานน่าจะเป็นกลุ่มช่วยพยุงตลาดได้บ้างแต่ไม่มาก ขณะที่กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสารยังมีโอกาสถูกขายทำกำไรต่อเนื่อง

ขณะที่หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มคาดว่าจะได้รับความสนใจในการลงทุนต่อเนื่องจากคาดการณ์ที่จะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังปี 2016 และปีหน้า ดังนั้นจึงยังเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ Top pick ได้แก่ CBG (เป้า 85), CPF (เป้า 38), MALEE (เป้า 98), BR (เป้า 9) และ TWPC (เป้า 10)

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective BUY

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : CBG (กำลังเติบโตในต่างประเทศ) และ TPCH (ลุ้นชนะประมูลโรงไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้)

Back to top button