ช้างสารกับหญ้าแพรก
ผมมั่นใจว่า สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยอยากรู้มากที่สุดตอนนี้ คือ วันจันทร์หุ้นจะรีบาวด์หรือเปล่า
–ตามกระแสโลก—
โดย บูรพา สงวนวงศ์
ผมมั่นใจว่า สิ่งที่นักลงทุนรายย่อยอยากรู้มากที่สุดตอนนี้ คือ วันจันทร์หุ้นจะรีบาวด์หรือเปล่า
ครับ อย่างที่ท่านและผมทราบ หุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้ว 103.16 จุด หรือราว 7% นับแต่ต้นเดือนมา
ดัชนีปิดตลาดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม อยู่ที่ระดับ 1,548.44 จุด จนถึงล่าสุด ดัชนีทรุดฮวบฮาบมากองอยู่ที่ 1,445.28 จุด
“มาร์เกตแคป” หุ้นไทยก็พลอยลดลงตามมาด้วยเกือบ 1 ล้านล้านบาท ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 13.97 ล้านล้านบาท
แน่นอนครับ ผลที่ตามมา คือ เสียงร้องดังระงมของนักลงทุนรายย่อย ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่
ผมเชื่อว่า คำพูดยอดฮิต ณ เวลานี้ มีอยู่ 2-3 คำด้วยกัน…#ถูกแล้วยังมีถูกกว่า! #ถูกแล้วแต่ถัวไม่ได้! #ถูกแล้วแต่อุปส์! กระสุนหมด
ที่พูดมา ไม่ได้เป็นการทับถมรายย่อยนะครับ กลับกันผมรู้สึกเห็นใจ และรู้สึกเป็นห่วงอยู่ห่างๆ
แต่อย่างว่า หุ้นขาขึ้นมักยั่วยวนใจเสมอ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้พลั้งเผลอ รู้ตัวอีกทีก็ตอนโดนสาดหุ้นใส่เต็มๆนั่นแหละครับ
เท่าที่ผมได้พูดคุยสอบถามกับเหล่านักวิเคราะห์สำนักต่างๆดู เสียงส่วนใหญ่มองว่า วันจันทร์น่าจะได้เห็นหุ้นปรับตัวขึ้นได้บ้าง
แต่ประเด็นสำคัญ คือ ขึ้นแล้วจะยืนได้มั่นคงขนาดไหน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชัดเจนว่า นักลงทุนสถาบัน หรือที่หลายคนเรียกว่า กองทุนตัวแสบ ได้ฟากผลงานไว้ให้รายย่อยได้จดจำกัน ชนิดที่ว่า ลืมไม่ลงทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีพร็อพเทรด หรือ ปอบผีฟ้า อีกกลุ่มหนึ่งที่แอบผสมโรงขายออกมาบ้างเช่นกัน แต่นั่นแหละครับ ผมว่ากลุ่มนี้คงรู้สึกตกใจไม่แพ้รายย่อยเท่าใดนัก
คำถามสัปดาห์นี้ จึงมีอยู่ว่า สงครามภายในจบลงแล้วหรือยัง??
ซึ่งการที่ดัชนีดาวน์โจนส์ติดลบไปเกือบ 400 จุด หรือเกินกว่า 2% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทำให้เกิดความกังวลขึ้นว่า นักลงทุนต่างชาติที่ช่วงนี้ถือเป็นพ่อบุญอุ้มจะพากันตื่นตระหนก ขายออกมาซ้ำเติมด้วยหรือไม่
นั่นหมายถึงว่า หากกองทุนตัวแสบและปอบผีฟ้ายังสลับบทบาททุบตลาดกันอยู่เช่นนี้ เราคงได้เห็นฝรั่งยอมตัดขายขาดทุนกันมากขึ้น
และหายนะช่วงสั้นๆ ของตลาดหุ้นไทยคงเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้แหละครับ!!
ซึ่งมันจะกลายเป็นปรากฏการณ์ 3 รุม 1 โดยรายย่อยจะออกแสวงหาเงินมาช้อนของที่คิดว่า “ถูก” แล้ว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้น คงเป็นเรื่องที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นคือ รับยังไงก็รับไม่อยู่ ถูกแล้วมักมีถูกกว่าเสมอ
อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์ของ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้ใช้ทฤษฎี Count Back Line อธิบายให้ผมฟังว่า…
ดัชนีพอเด้งกลับขึ้นมาแล้ว จะยืนหรือไปต่อได้หรือไม่ ต้องดูว่า สามารถปรับตัวขึ้นเหนือจุดสูงสุดของ 3 วันทำการก่อนหน้าได้ไหม
กรณีนี้ คือ หากวันจันทร์ดัชนีดีดตัวกลับจากภาวะ Oversold และภายในระยะ 2-3 วันสามารถปรับขึ้นผ่านจุดสูงสุดของวันพุทธที่แล้ว ที่ระดับ 1,511.62 จุดได้
นั่นหมายถึง แรงขายถูกล้างจนหมดจดและสะเด็ดน้ำแล้ว และดัชนีก็พร้อมที่จะทะยานขึ้นอีกระลอกหนึ่ง
ทฤษฎีนี้ เป็นวิธีหนึ่งที่เอาไว้ใช้จับสัญญาณของห้วงเวลาที่ดีสำหรับการเข้าช้อน ผมว่าน่าสนใจ
แต่ถึงกระนั้น การจะให้ดัชนีปรับขึ้น 60 กว่าจุดในระยะเวลากำหนด ท่ามกลางการสู้รบของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ซึ่งอาจมีต่างชาติเข้ามาเอี่ยวด้วยในอีกไม่ช้า
ผมว่าอาจต้องลุ้นเหนื่อย!!
แต่ก็ไม่แน่หรอกครับ เพราะตลาดหุ้นไทยมีลักษณะพิเศษอย่างที่เรารู้กันดี คือ อะไรก็เกิดขึ้นได้!!
เมื่อเป็นเช่นนั้น การถือเงินสดจำนวนมากขึ้นในมือ อาจเป็นการเตรียมตัวเพื่อคอยช่วงชิงโอกาสได้เป็นอย่างดี
ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยยังแข็งแกร่งอยู่มากครับ วัดได้จากผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เมื่อการต่อกร ระหว่างพวกพอร์ตใหญ่ยังคงมีอยู่ และไม่แน่ว่าจะจบสิ้นลงเมื่อใด
การเฝ้าดูสถานการณ์จากด้านนอกอาจเป็นหนทางที่ไม่เลวสำหรับตอนนี้ เพราะเท่ากับปิดกั้นความเสี่ยงไปในตัว
ขณะที่การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นข่าวในประเทศหรือนอกประเทศ ถือว่าสำคัญด้วยกันทั้งนั้นครับ
อย่างอัพเดตล่าสุด เกี่ยวกับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายทหาร ถือเป็นประเด็นที่สำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงของประเทศโดยตรง
เหตุการณ์ตามสำนวนที่ว่า “ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ” เกิดขึ้นให้ได้เห็นเสมอ
แต่ครั้งนี้จะเกิดขึ้นอย่างไรหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับท่านนักลงทุนแหละครับ ว่ามีความเห็นต่อการเข้าไปเสี่ยงในเกมใหญ่เช่นไรบ้าง…