SET ลุ้นวัด 1,500 จุด หลังเฟดคงดอกเบี้ยชู 13 หุ้นเด็ด กำไร Q3 โต-ธุรกิจเข้าไฮซีซั่น
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศหลังเฟดมีมติคงดอกเบี้ย ขณะที่ฟันด์โฟลว์ระยะสั้นยังแข็งแกร่ง โดยดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อลุ้นทดสอบระดับ 1,500 จุด การลงทุนเน้นหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 แข็งแกร่ง และธุรกิจเข้าช่วงไฮซีซั่นในครึ่งปีหลังเป็นหลัก
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.30 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.65 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืน ขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับแสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดแรงงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศหลังเฟดมีมติคงดอกเบี้ย ขณะที่ฟันด์โฟลว์ระยะสั้นยังแข็งแกร่ง โดยดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อทดสอบระดับ 1,500 จุด การลงทุนเน้นหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 แข็งแกร่ง และธุรกิจเข้าช่วงไฮซีซั่นในครึ่งปีหลังเป็นหลัก
หุ้นเด่นเลือก BIG-TKN-JMT-TWPC-BR-KCE-ASEFA-EA-CPF-IRPC-TOP-MINT และ BEAUTY
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (22 ก.ย.) คาดว่าจะปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างอยู่ในแดนบวกกันทั่วหน้า โดยรับอานิสงส์จากผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวานนี้มากกว่า ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีการเพิ่มวงเงินในการทำ QE แต่ก็เป็นการให้สัญญาณว่า ได้มีการเปลี่ยนวิธีการ ซึ่งตรงนี้จะทำให้กำไรของบริษัทในญี่ปุ่นไม่แย่ลง
นอกจากนี้ ยังตอบรับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อคืนที่ผ่านมาด้วย ที่ผลออกมายังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ ดังนั้นตลาดจึงน่าจะดีในช่วงสั้น แต่ต่อไปอาจจะเจอ Sell on fact ได้ เพราะยังมีการประชุมเฟดในธ.ค.ด้วย อย่างไรก็ตาม ให้ติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกในสัปดาห์หน้านี้ด้วย เพราะจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมัน พร้อมให้แนวรับ 1,480-1,477 จุด ส่วนแนวต้าน 1,500-1,505 จุด
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ย.) ว่า แม้ Fed คงดอกเบี้ย และมองโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.ต่อไป แต่ Dot Plot แสดงให้เห็นถึงการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้นโดยอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยเพียงแค่ 2 ครั้งในปีหน้า (เดิม 3 ครั้ง) กดดันเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า และ Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯ ปรับลดลงเหลือ 1.65% รวมไปถึงการปรับสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบ Brent +2.1% หลังสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าคาดเป็นปัจจัย “บวก” ต่อ SET วันนี้ คาดว่าจะปรับสูงขึ้นทดสอบกรอบแนวต้าน 1,495/1,520 จุด
กลยุทธ์ระยะสั้นยังเน้น “Trading” ต่อไป (เลื่อน Trailing Stop มาที่ 1,476 จุด) เนื่องจากประเมิน PE ปัจจุบันที่ 16.3 เท่า ปีนี้ และ 14.7 เท่า ปีหน้ายังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 13.2 เท่า และ Consensus เริ่มชะลอปรับประมาณการกำไรขึ้น แต่ด้วย Momentum ตลาดที่แข็งแกร่งกว่าคาด และถ้ายืนได้เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 3 เดือนที่ 1,495 จุดวันนี้ จะทำให้ตลาดกลับมาอยู่ในภาวะ Attempted Rally เป้าหมายระยะสั้น 1,520 จุด โดยเน้น 1) ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 ออกมาดี BEAUTY, EA และ CPF 2) กำลังเข้าสู่ช่วง High Season อย่างธุรกิจท่องเที่ยว และโรงกลั่น อย่าง IRPC, TOP และ MINT
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ย.) คาด SET วันพฤหัสบดีขึ้นต่อ ฟันด์โฟลว์ยังแกร่งในช่วงสั้น ตามข่าวเฟด-บีโอเจ (วานนี้ฟื้นตัว ตามคาด) เมื่อคืนนี้เฟดโหวต 7:3 คงดอกเบี้ยระยะสั้น เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์ KGI และตลาดคาด ทั้งนี้เฟดแถลงปรับลด GDP สหรัฐฯ ปีนี้จาก 2% สู่ 1.8% แต่ยังคงส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้และ dot-plot map ของเฟดมองปี 2560 จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง (ตามคาด)
ด้านบีโอเจปรับกรอบนโยบายจากเดิมกำหนดปริมาณซื้อพันธบัตร มาเป็นการควบคุม yield curve แทน ทั้งนี้เงินบาทน่าจะแข็งขึ้นในช่วงสั้นและหนุนฟันด์โฟลว์ต่อไป ส่วนสัปดาห์หน้าคาดว่าประเด็นการลงทุนจะเปลี่ยนมาเป็นปัจจัยภายใน ได้แก่ 1) การรายงานเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค. 2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เน้นช่วยเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย และ 3) การทำ window dressing สำหรับไตรมาส 3/2559 ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นหลังสถาบันปรับพอร์ตขายสุทธิไปมากในช่วงครึ่งแรกของ ก.ย.
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน เก็งกำไร TACC (เป้า Consensus 10.6 บาท) / ซื้อสะสม COM7 (เป้า Consensus 10.15 บาท … เป้าสูงสุด 12 บาท)
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ย.) ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อลุ้นทดสอบระดับ 1,500 จุด ขานรับเฟดคงอัตราดอกเบี้ย และ BOJ ออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม เป็นบวกต่อทิศทางของ Fund Flow จากต่างชาติที่จะยังไหลเข้าในตลาดหุ้นภูมิภาคและตลาดหุ้นบ้านเราต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่ม Big Cap โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มนำตลาดในวันนี้ เนื่องจากได้ Sentiment บวกจากราคาน้ำมันดิบที่กลับมาเพิ่มขึ้นแรง
ส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสารอาจจะมีแรงขายทำกำไรหลังจากคุณ พิชญ์ โพธารามิก ผู้ถือหุ้นใหญ่ JAS ออกมาระบุว่าไม่ต้องการขายหุ้นหรือ ควบรวมกิจการกับใคร ส่วนหุ้นขนาดกลางกลุ่ม อาหาร(CPF, BR) กลุ่ม โรงพยาบาล (BDMS, BCH) ยังโดดเด่นจากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 ที่เติบโตดี กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อมอร์เตอร์ไซด์ (TK, GL, S11) รับผลบวกยอดขายมอร์เตอร์ไซด์เดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 23% จากเดือนก่อนและ 24% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนหุ้นที่มีข่าวบวกเฉพาะตัว CHO อาจได้ส้มหล่นโครงการรถเมล์ NGV 489 คันหลังจากผู้ชนะโครงการนี้(เบสท์ริน กรุ๊ป)ถูกพิพากษาสำแดงข้อมูลเท็จในการนำเข้ารถเมล์จากจีนและต้องจ่ายภาษีเพิ่ม 230 ล้านบาท(ที่มา: ข่าวหุ้น) ส่วนหุ้นอื่นๆ ที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 โตโดดเด่น BIG, TKN, JMT, BEAUTY, TWPC, BR, KCE และ ASEFA
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : BEAUTY (เป้า 10.50 บาท) แนวโน้มกำไรโตทำ New high ทุกปี
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ย.) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ จากผลการประชุม FOMC แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าลดลงจากเดิมคาด 3 ครั้งต่อปีเป็น 2 ครั้งต่อปี ซึ่งอัตราการขึ้นที่ลดลงไม่ส่งผลลบต่อเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ประเมินดัชนี SET วันนี้จุดสังเกตุ หากดัชนีสามารถยืนเหนือระดับ 1,490 จุดได้ ทิศทางดัชนีน่าจะสามารถ Sideway ขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,510-1,520 จุดได้