SET บ่ายยืนบวก เกาะติดประชุม Opec-Non Opecโบรกฯ แนะ “ซื้อ” KTC เป้า 160 บ. ปัจจัยหนุนเพียบ
SET บ่ายยืนบวก จากนี้ไปเกาะติดประชุม Opec และ Non-Opec ที่จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ พร้อมให้แนวรับ 1,490 จุด แนวต้าน 1,515 จุด โบรกฯ แนะ “ซื้อ” KTC ชูเป้า 160 บ. ปัจจัยหนุนเพียบ
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ภาคเช้า (22 ก.ย.) ปรับตัวขึ้นสอดคล้องตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งภูมิภาค สหรัฐขานรับผลประชุมเฟด-BOJ ไม่มี Negative Surprise อีกทั้งรับแรงหนุนหุ้นบิ๊กแคปส่วนใหญ่บวกและเก็ง Fund Flow ไหลเข้า จากนี้เกาะติดประชุมโอเปกและนอกโอเปก 26-28 ก.ย.นี้ รวมทั้งความเห็นประธานเฟดสาขาต่างๆ ในสัปดาห์หน้า บ่ายนี้ตลาดฯยืนบวกได้ต่อ พร้อมให้แนวรับ 1,490 จุด แนวต้าน 1,515 จุด
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียและตลาดสหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า ภายหลังผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาตามคาดไม่ได้มี Negative Surprise แต่อย่างใด ทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น โดยตลาดฯรับแรงหนุนจากหุ้นบิ๊กแคปที่ขยับขึ้นกันเป็นส่วนใหญ่ และคาดว่าจะมี Fund Flow ไหลเข้ามาด้วย
จากนี้ไปคงจะต้องไปรอดูในสัปดาห์หน้าการประชุมของกลุ่ม Opec กับ Non-Opec ที่จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ ในประเด็นกำลังการผลิตว่าจะออกมาเป็นอย่างไร นอกจากนี้ก็ให้ติดตามความเห็นของประธานเฟดสาขาต่างๆ ในสัปดาห์หน้าว่าจะออกมาในแนวไหน แต่ยังเชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้ แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ ตลาดฯน่าจะยังยืนในแดนบวกได้ โดยให้แนวรับ 1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,515 จุด
บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ย.) ว่าSET ภาคเช้า ปรับสูงขึ้นทดสอบกรอบแนวต้าน 1,500 จุด วันนี้ ตามการปรับสูงขึ้นของตลาดหุ้นโลก หลัง Dot plot ของ Fed แสดงให้เห็นถึงการขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปในปี 2017 อย่างไรก็ดีแม้ SET อาจปรับสูงขึ้นได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจได้ถึง 1,520 จุด แต่ยังแนะนำแค่ “Trading” เท่านั้น
ในขณะเดียวกัน แนะนำ “ซื้อ” KTC ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 160 บาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตที่ไม่รุนแรง และตำแหน่งการตลาดของ KTC ที่ดีส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 11% สำหรับบัตรเครดิต และ 6.7% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล และคาดว่าจะค่อยๆ เพิ่มเป็น 12-13% สำหรับบัตรเครดิต และ 6.8-7.2% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลในปี 2560-2561 2) Credit Rating บริษัทที่ดีขึ้น และสภาพคล่องในระบบธนาคารสูง ทำให้ต้นทุนการเงินของ KTC ลดลงผ่านการ Refinance ส่งผลต้นทุนการเงินลดลงเหลือ 3.3% ในปีนี้ และปีหน้า
3) คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว ขณะที่อัตราส่วน NPL ยังลดลง และ Coverage Ratio ที่กว่า 300% สูงสุดในอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นถึง Balance Sheet ที่แข็งแกร่ง และ 4) Valuation ไม่สูง ด้วยการเติบโตกำไร 20% ต่อปีช่วง 2559-2560 ส่งผล PE ปีหน้าลดลงเหลือ 11.3x ปันผล 3.6% ขณะที่ทางเทคนิคมีสัญญาณ Breakout ระยะสั้น เป้าหมายที่ 140 บาท หรือถัดไปที่ 142.5 (High เดิม) และ 153.5 บาท ตามลำดับ
สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า
TRUE มูลค่าการซื้อขาย 910.97 ล้านบาท ปิดที่ 7.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
KKP มูลค่าการซื้อขาย 867.72 ล้านบาท ปิดที่ 54.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
JAS มูลค่าการซื้อขาย 843.97 ล้านบาท ปิดที่ 7.40 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 808.70 ล้านบาท ปิดที่ 191.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
CPF มูลค่าการซื้อขาย 716.39 ล้านบาท ปิดที่ 32.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท