SET ขึ้นต่อเล็กน้อย-Upside จำกัดเน้นเล่นหุ้นได้ประโยชน์การบริโภคฟื้น
นักวิเคราะห์มองดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อจากวานนี้ โดยดัชนีมีโอกาส Sideway Up ขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,520 - 1,530 จุด แต่ยังคงมุมมองว่า SET มี upside จำกัด หลังปัจจัยภายนอกเป็นบวกน้อยลง ขณะที่มีโอกาสปรับตัวลดลงจากแรง Take Profit หลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงกว่า 26 จุดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.28 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.75 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลงในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตร ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นเนื่องจากเงินเยนอ่อนค่า
นักวิเคราะห์มองดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อจากวานนี้ โดยดัชนีมีโอกาส Sideway Up ขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,520 – 1,530 จุด แต่ยังคงมุมมองว่า SET มี upside จำกัด หลังปัจจัยภายนอกเป็นบวกน้อยลง ขณะที่มีโอกาสปรับตัวลดลงจากแรง Take Profit หลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงกว่า 26 จุดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา
หุ้นเด่นเลือก LIT ,COM7 ,TACC ,KCE, BEAUTY, TKN, JMT, TWPC, SMPC ,TPIPL, BJC, CPALL, KTC ,TOP ,IRPC ,ESSO ,HANA ,SVI และ CPF
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ต.ค.) โดยคาดว่า SET วันอังคารแกว่งขึ้นต่อ แต่ไม่น่าจะแรง ภาพรวมไซด์เวย์ (วานนี้ฟื้นตัวตามปัจจัยภายนอก ตามคาด) ทั้งนี้ปัจจัยภายนอกเช้าวันนี้สู้เมื่อวานไม่ได้ หลังตลาดหุ้นหลักลดลงเมื่อคืนตามข่าวนายกฯ อังกฤษ เทเรซา เมย์ ประกาศใช้มาตรา 50 เพื่อเข้าสู่กระบวนการ Brexit อย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค. 2560 และจะใช้เวลา 2 ปีในการออกจากสหภาพยุโรป
ส่วนปัจจัยอื่นๆ เป็นกลาง สหรัฐฯ รายงาน ISM ภาคการผลิต ก.ย. เพิ่มขึ้นสู่ 51.5 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 50.4 จุด และดันผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ขึ้นค่อนข้างแรง อาจจำกัดทางขึ้นของตลาดหุ้นเอเชียในระยะสั้น
ด้านปัจจัยมหภาคภายในประเทศ ธปท. รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (BSI) ก.ย. เพิ่มขึ้นสู่ 50.3 สูงสุดรอบ 3 เดือน และเป็นสัญญาณบวกเล็กน้อยต่อการลงทุนภาคเอกชน / GDP ของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
หุ้นเด่นวันนี้ตามปัจจัยพื้นฐาน เก็งกำไร LIT ,COM7 สะสม TACC
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ต.ค.) แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ดัชนี SET สามารถผ่านระดับ 1,500 จุด ขึ้นมาได้ ถือเป็นสัญญาณบวกทางเทคนิค โดยดัชนีมีโอกาส Sideway Up ขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,520 – 1,530 จุด แนะนำทยอยซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มส่งออกไก่ และกลุ่มค้าปลีก
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ต.ค.)คาด SET Index มีโอกาสปรับตัวลดลงจากแรง Take Profit หลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงกว่า 26 จุดในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดการเงินโลกเริ่มมีความไม่แน่นอนโดยเฉพาะค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปีหลังอังกฤษส่งสัญญาณจะออกจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมี.ค.ปีหน้า ขณะที่ประธานเฟดสาขาต่างๆออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และข่าว ECB อาจจะปรับลดวงเงินในการเข้าซื้อ QE จะเป็นปัจจัยกดดันต่อ Fund Flow ต่างชาติที่อาจจะไหลออก ทำให้วันนี้หุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้า อาทิ กลุ่มพลังงานอาจจะถูกขายทำกำไรกดดันตลาด
ส่วนกลุ่มธนาคารและสื่อสารซึ่งราคาไม่ได้ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมาอาจจะแค่พักตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความผันผวนในต่างประเทศเราจึงเน้นการลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับข้องการบริโภคในประเทศเป็นหลัก อาทิ CPALL และรอเข้าซื้อหุ้นแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 ออกมาดี อาทิ KCE, BEAUTY, TACC, TKN, JMT, TWPC, SMPC และ TPIPL(ผู้ถือหุ้นจะได้สิทธิ์ Pre-emtive ซื้อหุ้น IPO ของหุ้น TPIPP)
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ต.ค.) แม้ SET จะปรับขึ้นแรงจนทะลุแนวต้าน 1,506 จุด ขึ้นมาได้ แต่ยังคงมุมมองว่า SET มี upside จำกัด และพร้อม “ปรับฐาน” ในระยะ 1-3 เดือนขณะที่บรรยากาศการลงทุนวันนี้ ก็ยังไม่เอื้อนัก ทั้งจากปัจจัยกดดันเดิม และ ปัจจัยใหม่ที่จะกดดัน sentiment การลงทุน เช่น 1) ประธาน Fed สาขาริชมอนด์ และสาขาคลีฟแลนด์กล่าวกดดันว่า Fed ควรขึ้นดอกเบี้ยในวันที่ 1-2 พ.ย. นี้เลย แม้จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย. ก็ตาม 2) ECB อาจเริ่มวางแผนเพื่อถอนเงิน QE ออก หลังโครงการ QE จะหมดอายุในเดือน มี.ค. ปีหน้า สวนทางกับที่นักลงทุนคาดหวังให้ ECB ต่ออายุ QE
แนะนำแบ่งพอร์ตเพื่อ “Trading” โดยสามารถเพิ่มน้ำหนักพอร์ต “Trading” ขึ้นได้ หลัง SET ทะลุแนวต้านขึ้นมา แต่ต้องมีจุด stop loss ที่เข้มงวด ยังเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการบริโภคฟื้นตัวอย่าง BEAUTY, BJC, CPALL, KTC กลุ่มโรงกลั่นจากค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น เช่น TOP IRPC ESSO (ราคายังต่ำกว่า replacement cost มาก) และ กลุ่มที่ได้ประโยชน์ค่าเงินบาทอ่อน เช่น HANA KCE SVI และ CPF