SET ผันผวนแรง เลือกเก็บ 16 หุ้นปลอดภัย พื้นฐานดี

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ผันผวนต่อเนื่องจากปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศที่ยังไม่มีปัจจัยเชิงบวกเข้ามา ในระยะนี้ยังเน้นให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เน้นเล่นสั้น "ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ" และเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 ออกมาดีเป็นหลัก


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.20 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.65 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าได้ฉุดหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนตัวลง ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าลง

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ผันผวนต่อเนื่องจากปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศที่ยังไม่มีปัจจัยเชิงบวกเข้ามา ในระยะนี้ยังเน้นให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เน้นเล่นสั้น “ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ” และเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 ออกมาดีเป็นหลัก

หุ้นเด่นเลือก EA-IRPC-INTUCH-BJC-BEAUTY-TACC-TKN-JMT-TWPC-BDMS-SMPC-KCE-BANPU-GFPT-CPALL และ CPF

 

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เปิดเผยถึง ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (13 ต.ค.) ยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศที่ยังไม่มีปัจจัยเชิงบวกเข้ามา โดยมองว่านักลงทุนทั่วโลกคงอยู่ในช่วงของการปรับพอร์ตการลงทุน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในช่วงของการปรับฐาน และรอดูสัญญาณเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และความผันผวนของการเลือกตั้งของสหรัฐฯ

“จากนี้ไปทิศทางตลาดต่างประเทศคงอยู่ในช่วงของความผันผวน เพราะตัวเลขผลประกอบการของสหรัฐฯที่ออกมาไม่ดีมากนัก ประกอบกับยังมีเรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการเลือกตั้งที่ยังต้องติดตามดู ส่วนในประเทศก็ยังมีเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่จะออกมา ซึ่งยังไม่มีข่าวเชิงบวกออกมา ภาพโดยรวม Sentiment ยังเป็นลบอยู่ อย่างไรก็ตาม วันนี้มีโอกาสที่ตลาดจะเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ และมีความผันผวนสูง”

ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาควันนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ จากยังไม่มีปัจจัยเชิงบวก พร้อมให้แนวรับ 1,350-1,380 จุด ส่วนแนวต้าน 1,430-1,450 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (13 ต.ค.) ว่า แม้ Downside Risk จากเป้าหมายการเข้าซื้อที่ 1,350 จุด (อิงรายงาน Pathumwan Corner วันที่ 14 ก.ย. “SET ที่ 1,440 จุด ยังไม่ใช่จุดซื้อที่ดี”) จะ “จำกัด” มากขึ้นหลังปรับลดลงแรง 100 จุด ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา แต่คาดว่า SET จะมีความ “ผันผวน” ทางลบต่อเนื่องในระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า จาก 1) Valuation ในเชิง PE16ที่ 15.3 เท่า ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2) แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย Fed ในเดือน ธ.ค. ส่งผลเงินบาทอ่อนค่าเร็ว และทำให้ความ “ผันผวน” ของกระแสเงินทุนเพิ่มขึ้น

แม้ PE16 ที่ 15.3 เท่า จะยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 13.2 เท่า แต่ถ้าพิจารณา PE17 ที่ 13.8 เท่า จะเห็นว่าเริ่มมี Downside Risk จำกัด ขณะที่ Earnings Yield Gap สำหรับกำไรปี 2017 ที่ 4.7% ใกล้จุดซื้อที่ 5% ทำให้นักลงทุนระยะยาว ควรเริ่ม “ซื้อ” หุ้นเข้าพอร์ต เมื่อ SET ปรับลดลงเข้าใกล้ 1,350 จุด

แนะนำ BJC (กำไรครึ่งปีหลัง 2016 และ 2017 เติบโตสูง), CPALL (การบริโภคขยายตัว), CPF (ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อน), KCE (ได้ประโยชน์จากบาทอ่อน), EA (กำไรมีเสถียรภาพสูงจากการขายไฟฟ้า) INTUCH (ปันผลขึ้นมาที่ 9%) IRPC (Upgrade โรงกลั่น ปันผล 5.5-7%)

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (13 ต.ค.) คาด SET ยังเคลื่อนไหวผันผวนในทิศทางลง แม้จะเห็นแรงซื้อกลับของหุ้นที่ปรับตัวลงแรงต่อเนื่องจากเมื่อวาน แต่คาดว่าดัชนีจะเพิ่มขึ้นได้ไม่มากเพราะจะถูกกดดันจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนที่เข้าซื้อในช่วงที่ตลาด Panic เมื่อวานนี้ ขณะที่นักลงทุนที่ติดอยู่ด้านบนจะขายปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงออกมาด้วย

กลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มที่พยุงตลาดในช่วงที่ผ่านมาอาจจะปรับตัวลงหลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่ากลุ่มโอเปกจะสามารถลดกำลังการผลิตได้ ขณะเดียวกันคาดว่านักลงทุนจะรอฟังการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟดในวันศุกร์นี้ว่าจะมีการส่งสัญญาณต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

ดังนั้นในระยะนี้ยังเน้นให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และเน้นเล่นสั้น “ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ” และเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 ออกมาดี (BEAUTY, TACC, TKN, JMT, TWPC และ SMPC) และกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE) และ โรงพยาบาล (BDMS) กลุ่มอาหาร (CPF, GFPT) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และกลุ่มถ่านหิน (BANPU) จากราคาถ่านหินยังเพิ่มขึ้นทำ New high ในรอบกว่า 3 ปี

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : KCE (ซื้อ/เป้า 120), CPF (ซื้อ/เป้า 42.00 บาท) รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า และแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/59 ออกมาดี

 

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (13 ต.ค.) ว่า ทิศทางตลาด ประเมินค่อนข้างยาก ว่าจะลงหรือมี rebound เพราะหลายปัจจัยทั้งในแต่ต่างประเทศยังคลุมเครือ กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ ยังแนะให้ชะลอการลงทุน หุ้นที่คาดว่า อาจได้รับความสนใจจากนักลงทุน สำหรับการเก็งกำไรช่วงสั้น ควรรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลงมา อาทิ KCE, BANPU และ BJC

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (13 ต.ค.) ว่า ภาวะตลาดไทยยังผันผวนผิดปกติรับประเด็นข่าวลือต่างๆ แต่เมื่อประเมิน Down Side ตลาดในกรณี Worst Case น่าจะแกว่งตัวในกรอบ Forward P/E 14.0 – 14.5 เท่า เทียบเป็นดัชนี SET ที่ระดับ 1,337 – 1,385 จุด ดังนั้นจึงแนะนำทยอยซื้อหุ้นกลุ่มหลัก เนื่องจากหากความกังวลผ่านไป ดัชนีน่าจะเกิดภาวะรีบาวน์จากแรงซื้อ Cover Short

Back to top button