เคาะ 21 หุ้นรายตัว ผลประกอบการแกร่ง!SET กลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐาน
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยกลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานอีกครั้งหลังปัจจัยภายในประเทศมีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสอ่อนตัวจากแรงขายทำกำไรหลังปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อีกทั้งแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเริ่มชะลอตัว การลงทุนแนะนำหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังแข็งแกร่งเป็นหลัก
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.20 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.40 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สดใส
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยกลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานอีกครั้งหลังปัจจัยภายในประเทศมีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสอ่อนตัวจากแรงขายทำกำไรหลังปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อีกทั้งแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเริ่มชะลอตัว การลงทุนแนะนำหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังแข็งแกร่งเป็นหลัก
หุ้นเด่นเลือก BJC-CPALL-EA-IRPC-INTUCH-ADVANC-DIF-KKP-CK-SEAFCO-CPF-GFPT-BDMS-BCH-KCE-BEAUTY-TACC-TKN-JMT-BANPU และ TWPC
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (17 ต.ค.) มีโอกาสปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไรหลังปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อีกทั้งแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเริ่มชะลอตัวลง ขณะที่เริ่มเห็นแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในตลาดตราสารหนี้ ตลาดทุน และตลาดอนุพันธ์
แม้ปัจจัยในประเทศที่เคยกดดันตลาดฯในช่วงก่อนหน้านี้ได้มีความชัดเจนแล้ว แต่พฤติกรรมการบริโภคยังไม่กลับมา ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาพอควร ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้มีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนลบ พร้อมให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯต่อไป เนื่องจากจะมีผลต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าเงินบาท พร้อมให้แนวรับ 1,460 จุด ส่วนแนวต้าน 1,475 จุด
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ต.ค.) ว่า SET แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ นำโดยแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ทุกกลุ่ม และคาดว่าความ “ผันผวน” ทาง Sentiment จะเริ่มลดลงในสัปดาห์นี้ และ SET จะกลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐาน อย่าง 1) กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/59 และแนวโน้มกำไรปี 2560 ที่มี Downside Risk จากประมาณการเติบโต 10% ในปัจจุบัน 2) การเติบโตเศรษฐกิจปี 2017 ที่ชะลอตัวกว่าคาดไว้เดิม 4.7% และ 3) แนวโน้มทค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และการขึ้นดอกเบี้ย Fed ในเดือน ธ.ค. จะทำให้กรอบเคลื่อนไหวของ SET ระยะสั้นที่ 1,460-1,520 จุด
การปรับสูงขึ้นเร็วของ SET ทำให้ไม่มีโอกาสมากนักในการเพิ่มสัดส่วนหุ้น แต่ยังสามารถเลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะ Outperform ตลาดในช่วงไตรมาส 4/59 ได้
1) กำไรเติบโตดี : BJC CPALL CPF EA IRPC 2) เงินปันผลสูง INTUCH (ปันผล 8.6%) ADVANC DIF KKP และ 3) ผลดีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน: CK SEAFCO
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ต.ค.)คาด SET เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบจำกัด +/-20 จุด โดยช่วงเช้าตลาดจะยังได้ โมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้มีโอกาสขึ้นต่อ อย่างไรก็ตาม ให้ระมัดระวังแรงขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงกว่า 60 จุดในวันศุกร์ที่ผ่านมาและเพิ่มขึ้นกว่า 135 จุดจากจุดต่ำสุด ประกอบกับนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจต่อทิศทาง Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติหลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในวันศุกร์ขายมากถึง 2,573 ล้านบาท และยัง Net Short TFEX สูงถึง 24,390 สัญญา
แนะนำหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการยังแข็งแกร่งโดยเฉพาะกลุ่มที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 จะออกมาดี อาทิ กลุ่ม อาหาร (CPF, GFPT) กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BCH) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE) และหุ้นรายตัวที่ผลประกอบการดีและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ BEAUTY, TACC, TKN, JMT และ TWPC ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ คือ 1)การประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร 2) อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐ 3)จีนรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3/59 และ 4) Debate ชิงประธานาธิบดีครั้งที่ 3 ของสหรัฐซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 19 ต.ค. 16
หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : BANPU (ซื้อ/เป้า 20) ราคาถ่านหิน Newcastle ยังปรับตัวขึ้น New high อย่างต่อเนื่อง
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ต.ค.)ว่า สัปดาห์นี้แนะนำให้ติดตามปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ รายงาน GDP จีนไตรมาส 3/59 ในวันพุธ, วันพฤหัส ติดตามการดีเบตผู้สมัคร ปธน. สหรัฐรอบ 3 และการประชุม ECB กลยุทธ์การลงทุน ขณะที่ประเมินความผันผวนดัชนี SET น่าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ระยะสั้นคาดอาจจะมีแรงขายทำกำไรบริเวณแนวต้านบริเวณ 1,500 +/- จุด สำหรับนักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำหรือมีต้นทุนใกล้เคียงราคาปัจจุบัน แนะนำลดพอร์ตลงเพื่อรอประเมินปัจจัยใหม่ที่จะเข้ามากระทบตลาด