ส่อง 14 หุ้นดาวเด่น SET ลุ้นวัด 1,500 จุด
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศทดสอบแนวต้าน 1,500 จุด โดยได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ส่วนใหญ่ราคายัง Laggard หากเทียบกับตลาด ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กยังมีแรงซื้อเก็งกำไรไตรมาส 3/59 เข้ามาอย่างต่อเนื่อง การลงทุนยังคงเน้นกลุ่มที่แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีเป็นหลัก
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.20 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.88 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อคืน หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศทดสอบแนวต้าน 1,500 จุด โดยได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ส่วนใหญ่ราคายัง Laggard หากเทียบกับตลาด ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กยังมีแรงซื้อเก็งกำไรไตรมาส 3/59 เข้ามาอย่างต่อเนื่อง การลงทุนยังคงเน้นกลุ่มที่แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังดีเป็นหลัก หุ้นเด่นเลือก BJC-CPALL-BEAUTY-EA-KKP-KCE-CBG-GFPT-STA-TOP-IRPC-PTT-PTTEP และ SPRC
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) ว่า ภาวะการซื้อขายวานนี้ได้แรงหนุนจากรายงาน GDP จีน ไตรมาส 3/59 ยังขยายตัวได้ตามคาดการณ์ที่ 6.7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และ ส.อ.ท.รายงานดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ก.ย. ฟื้นตัวครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ขณะที่เช้านี้แนะนำให้ติดตามการดีเบตผู้สมัคร ปธน. สหรัฐฯรอบสุดท้าย และช่วงเย็นติดตามการประชุม ECB
กลยุทธ์การลงทุน คาดดัชนี SET วันนี้จะได้แรงหนุนทิศทางราคาน้ำมันที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,500 จุด โดยมีแนวรับ 1,480 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรกลุ่มพลังงาน เช่น PTT, PTTEP และ SPRC
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) ว่า SET มีโอกาสปรับสูงขึ้นต่อเนื่องด้วยเป้าหมายระยะสั้นที่ 1,518 – 1,520 จุด จาก 1) การปรับสูงขึ้นยืนเหนือแนวต้าน 1 เดือนที่ 1,480 จุด เป็นสัญญาณ “บวก” ทางเทคนิค 2) รายงาน Siam Senses เมื่อวันที่ 18 ต.ค.มองการบริโภคที่อ่อนตัวลง ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนจำกัดเพียง 2.5% ในปี 2017 3) แนวโน้มดอกเบี้ยในประเทศที่คาดว่าจะปรับขึ้นช้ากว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีในประเทศลดลงต่อเนื่องมาที่ 2.14% จากสัปดาห์ก่อนที่ 2.3% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ยังเป็นปัจจัยเอื้อต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังหุ้น ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
คาดการณ์กลุ่มหุ้นที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 แข็งแกร่ง จะ Outperform ตลาด ได้แก่ BJC (รวมกำไรของ BIGC เข้ามาเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก และเริ่มรับรู้ผลของหนี้ และดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง) CPALL (Same Store Sale โตดี ขยายสาขาเร่งตัวขึ้น) BEAUTY (ยอดขายยังขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้) EA (กำลังการผลิตไฟฟ้า Solar 90MW หนุนกำไรโตเด่นในครึ่งปีหลัง 2559) KKP (กำไรไตรมาส 3/59 ดีกว่าคาด มี Upside Risk ต่อประมาณการกำไรทั้งปี) KCE (คาด Recorded Profit อีกครั้งในไตรมาส 3/59)
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ต.ค.) คาด Set Index ขึ้นต่อลุ้นทดสอบระดับ 1,500 จุด โดยมีแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน, โรงกลั่น และ ปิโตรเคมี รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นแรงกว่า 2.6% ขานรับ EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลง 5.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรลและเป็นกลุ่มที่ราคายัง Laggard หากเทียบกับ SET โดยเฉพาะ TOP, IRPC, PTTEP และ PTT ซึ่งเป็นหุ้นที่ราคาฟื้นตัวช้าที่สุดของกลุ่ม
ส่วนกลุ่มธนาคารเป็นอีก 1 กลุ่มที่ราคาฟื้นตัวช้ากว่าตลาดเนื่องจากกังวลแนวโน้มผลประกอบการในปีหน้า แต่ด้วยราคาที่ลดลงแรงในช่วง 3 วันที่ผ่านมาทำให้ downside เริ่มจำกัดและมี Dividend yield อยู่ในระดับที่น่าสนใจจึงมีโอกาสที่จะเห็นแรงซื้อกลับ โดยเฉพาะ BBL, SCB และ KTB ซึ่งให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 4% ต่อปี
ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็กจะยังมีแรงซื้อเก็งกำไรไตรมาส 3/59 เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มที่แนวโน้มผลประกอบการดีและราคายังปรับขึ้นไม่มากคือ กลุ่มอาหาร(CPF, GFPT และ CBG) และกลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BCH) ส่วนปัจจัยที่จะต้องติดตามวันนี้คือ การดีเบตชิงประธานาธิบดีของสหรัฐครั้งที่ 3 ซึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงเช้าของวันนี้ตามเวลาบ้านเรา ตลาดคาด นางฮิลารี คลินตันจะยังเป็นฝ่ายชนะเป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนคืนนี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของยุโรป (ECB) คาดยังคงอัตราดอกเบี้ยและวงเงิน QE ตามเดิม
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : CBG (ซื้อ/เป้า 85.00), GFPT (ซื้อ/เป้า 18.00) และ STA (ซื้อ/เป้า 14.20)