SET ผันผวนระหว่างรอผลเลือกตั้งสหรัฐฯเลือกเก็บ 12 หุ้นลุ้น Outperform ตลาด

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ผันผวนและมีโอกาสปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนเพื่อรอติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐในสัปดาห์หน้า การลงทุนเน้นเก็งกำไรระยะสั้น หรือเลือกเก็บหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังดีเป็นหลัก


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.18 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 34.96 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ นอกจากนั้นยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับตัวลงติดต่อกัน 5 วันทำการ จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ผันผวนและมีโอกาสปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนเพื่อรอติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐในสัปดาห์หน้า การลงทุนเน้นเก็งกำไรระยะสั้น หรือเลือกเก็บหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังดี และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ หุ้นเด่นเลือก IRPC-ESSO-CK-STEC-BJC-EA-CPALL-BEAUTY-THANI-BEM-BDMS และ KCE

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (4 พ.ย.) ว่า แรงขายวานนี้อยู่ในหุ้นกลุ่มหลัก เช่น พลังงาน, ธนาคาร, ขนส่ง และการบิน หลังตลาดหุ้นทั่วโลกชะลอการลงทุนเพื่อรอติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐในสัปดาห์หน้า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค. ปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจากราคาพืชผลอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของเกษตรกรในช่วง 1 – 2 เดือนข้างหน้า

กลยุทธ์การลงทุน วางจุด Filter แนวรับที่ 1,490 จุด ในกรณียืนไม่ได้ดัชนีมีโอกาสปรับฐานลง 10 – 20 จุด ดังนั้นในกรณียืนไม่ได้ แนะนำปรับพอร์ตลง เพื่อซื้อเก็งกำไรที่บริเวณแนวรับ 1,470 – 1,480 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (4 พ.ย.) นักลงทุนอยู่ในสถานะ Risk-off ต่อเนื่อง รอผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 8 พ.ย.นี้ โดยในทางสถิติจะเห็นว่าดัชนีหุ้น Dow Jones มีโอกาสปรับสูงขึ้นถึง 86% (6 ครั้งใน 7 ครั้งที่มีการเลือกตั้ง) หลังการเลือกตั้ง 3 เดือนSET มีแนวโน้มถูกกดดันจากกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT PTTEP หลังราคาน้ำมัน Brent ปรับลดลงต่อเนื่องอีก 1.1% เมีอคืนนี้ แต่ยังมอง Downside risk จำกัดที่ 1,480 จุด และมองกรอบเคลื่อนไหวที่ 1,480-1,520 จุด ต่อไป

SET ยังเคลื่อนไหว Sideways ต่อ โดยในทางกลยุทธ์เน้นไปที่การ “Selective” กลุ่มหุ้นที่จะ Outperform ตลาดมากกว่า

1) โรงกลั่น+ปิโตรฯ : ค่าการกลั่นสูง US$8-9/bbl “ซื้อ” IRPC ESSO

2) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน : CK (ยื่นซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูวันที่ 7 พ.ย.นี้ คาดรู้ผลกลางเดือน พ.ย.นี้) และ STEC

3) กำไรไตรมาส 3/59 แข็งแกร่ง/ถูกปรับเป้าหมายขึ้น : BJC EA (กำลังการผลิตฟ้าโต แนวต้าน 30.00/32.50บาท) CPALL BEAUTY THANI KCE

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (4 พ.ย.) คาด SET จะยังเคลื่อนไหวผันผวนและมีโอกาสปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในสัปดาห์หน้า นักลงทุนต่างชาติจะยังขายปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงและสะท้อนคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. เป็นลบกับหุ้นในกลุ่ม Big Cap โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่แนวโน้มผลประกอบการโดยรวมยังไม่ดีและมีความกังวลต่อแนวโน้ม NPL มากขึ้น ขณะที่กลุ่มพลังงานยังถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 1 เดือน กลุ่มถ่านหินเริ่มมีแรงกดดันหลังจากราคาถ่านหินกลับมาลดลงแรง

อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มขนาดกลางถึงเล็กและมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจะยังได้รับความสนใจของนักลงทุน อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BCH และ LPH) คาดหวังผลประกอบการโดยรวมในไตรมาส 3/59 จะออกมาเติบโตดีหลังจากที่เมื่อวานนี้ BH รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/59 ออกมาดีเกินคาด และอีกกลุ่มคือกลุ่มรับเหมา (CK, STEC และ SEAFCO) ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่มีแรงเก็งกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังภาครัฐมีการเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มเหล็กที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นและให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง อาทิ TMT และ PAP

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Buy on weekness

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : BEM (ซื้อ/เป้า 9.00บาท) เก็งกำไรก่อนเปิดยื่นซองรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูมูลค่า 100,000 ล้านบาทในสัปดาห์หน้า BDMS (ซื้อ/เป้า 27.00) คาดหวังงบไตรมาส 3/59 เติบโตดี

Back to top button