SET บ่ายผันผวน – โบรกฯ ชู 6 หุ้นเด็ด มีปัจจัยหนุน
SET บ่ายผันผวน ตลาดฯจับตาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเฟดจะประชุม 13-14 ธ.ค.นี้ พร้อมให้แนวรับ 1,500-1,490 แนวต้าน 1,510-1,520 จุด โบรกฯ ชู 6 หุ้นเด็ด มีปัจจัยหนุน นำโดย BJC, CPALL, BEAUTY, CK, SEAFCO และ STEC
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ภาคเช้า (11 พ.ย.) ย่อตัวลงเช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่จะปรับตัวลง ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาในการประเมินผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนใหม่ ส่วนตลาดหุ้นไทยคาดว่า Fund Flow ไหลออกอย่างต่อเนื่อง และ Valuation ของตลาดฯตอนนี้ก็ไม่ถูก เทรด P/E 16 เท่า ดังนั้น upside ตลาดฯจึงจำกัด จากนี้ไปคงจะไปโฟกัสที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งเฟดจะประชุม 13-14 ธ.ค.นี้ โดยตลาดฯคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนรายละเอียดนโยบายของ”ทรัมป์”คงจะชัดเจนหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอย่างเป็นทางการในต้นปีหน้า บ่ายนี้ตลาดฯคงจะผันผวนในกรอบ อิงขาลง พร้อมให้แนวรับ 1,500-1,490 แนวต้าน 1,510-1,520 จุด
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีความผันผวน และยังเปราะบาง โดยดัชนีฯย่อตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะปรับตัวลง ซึ่งคงจะต้องใช้เวลาในการประเมินผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนใหม่
ส่วนตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า Fund Flow ไหลออกอย่างต่อเนื่อง และ Valuation ของตลาดฯตอนนี้ก็ไม่ถูก เทรด P/E 16 เท่า ซึ่งตลาดฯคงจะมีความผันผวนต่อไป และ upside ก็จำกัดด้วย
จากนี้ไปนักลงทุนคงจะหันไปโฟกัสที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเฟดจะมีการประชุมในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ โดยตลาดฯคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ คงจะได้เห็นรายละเอียดชัดเจนในต้นปีหน้า หลังจากที่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนในระหว่างนี้หากมีปัจจัยใดเพิ่มก็จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดฯได้ แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ ตลาดฯคงจะผันผวนในกรอบ อิงขาลง พร้อมให้แนนวรับ 1,500-1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,510-1,520 จุด
บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (11 พ.ย.) ว่า SET ภาคเช้า ผันผวนกระแสเงินทุนไหลออก ลดความเสี่ยงดอลลาร์ฯ แข็งค่า นโยบายเศรษฐกิจโดนัล ทรัมป์ ที่เน้นการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากภายในประเทศเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานในประเทศ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ การสร้างความได้เปรียบด้านการค้าของสหรัฐฯ มีโอกาสที่ทำให้เงินเฟ้อ (Inflation) และอัตราดอกเบี้ย ปรับขึ้นเร็วกว่าคาดส่งผลเงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น และทำให้กระแสเงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศ Emerging Countries ตั้งแต่เปิดตลาดวันนี้.
อย่างไรก็ดี เราคาดว่าผลกระทบจากการไหลออกของกระแสเงินทุนต่างประเทศ จะกระทบตลาดหุ้นไทย “จำกัด” เนื่องจาก 1) สภาพคล่องในประเทศอยู่ในระดับสูง จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล US3.6 หมื่นล้าน ในช่วง 9M16, พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยกว่า 3 ล้านล้านบาท, และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ US$1.8 แสนล้าน 2) นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนถือครองตราสารหนี้ในประเทศไทย ต่ำ 14.5% ทำให้กระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ “จำกัด” เมื่อเทียบกับอินโดฯ และมาเลเชีย (ดูกราฟด้านล่าง) ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้สูงถึง 36-39% 3) เศรษฐกิจเติบโตด้วยแรงผลักดักจากการบริโภค และการลงทุนในประเทศ มากกว่าการส่งออกประเมินแนวรับ 1,490-1,498 จุด และแนะนำ “ซื้อ” Domestic Plays และ Infrastructure Plays อย่าง BJC CPALL BEAUTY CK SEAFCO STEC
สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า
JAS มูลค่าการซื้อขาย 3,172.81 ล้านบาท ปิดที่ 7.85 บาท ลดลง 1.40 บาท
BANPU มูลค่าการซื้อขาย 3,154.20 ล้านบาท ปิดที่ 20.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท
TRUE มูลค่าการซื้อขาย 3,020.08 ล้านบาท ปิดที่ 7.40 บาท ลดลง 0.20 บาท
DTAC มูลค่าการซื้อขาย 1,786.52 ล้านบาท ปิดที่ 37.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
ESSO มูลค่าการซื้อขาย 1,576.91 ล้านบาท ปิดที่ 13.10 บาท ลดลง 0.50 บาท