SET ไซด์เวย์ สอย 7 หุ้นงบแจ่มเกินคาด

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยไซด์เวย์ แต่มีโอกาสฟื้นตัวจากวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังนาย โดนัล ทรัมป์ ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชื่อว่าจะทำให้ Sentiment ตลาดกลับมาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธ.ค.จะยังกดดันให้ Fund Flow ต่างชาติยังคงไหลออก การลงทุนเลือกหุ้นที่ผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาดเป็นหลัก


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.22 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.44 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หลังนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ รองประธานเฟด แสดงความคิดเห็นหนุนการขึ้นดอกเบี้ย

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยไซด์เวย์ แต่มีโอกาสฟื้นตัวจากวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังนาย โดนัล ทรัมป์ ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชื่อว่าจะทำให้ Sentiment ตลาดกลับมาดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธ.ค. จะยังกดดันให้ Fund Flow ต่างชาติยังคงไหลออก การลงทุนเลือกหุ้นที่ผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาดเป็นหลัก หุ้นเด่นเลือก CBG-BJC-CPALL-BEAUTY-CK-STEC และ CPF

 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคระห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (14 พ.ย.) คาดว่าจะแกว่ง Sideway down เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่อยู่ในแดนบวกได้ เนื่องจากตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นออกมาดีกว่าคาดมาก

ทั้งนี้ ตลาดฯได้รับปัจจัยกดดันจากราคามันที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือนครึ่ง หลังจากที่โอเปกรายงานการผลิตน้ำมันงวดเดือนต.ค.มาอยู่ที่ 33.64 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้ความคาดหวังที่จะเห็นการลดกำลังการผลิตดูเหมือนจะยังไม่เห็น ซึ่งทางกลุ่มโอเปกจะมีการประชุมหารือในวันที่ 30 พ.ย.นี้

นอกจากนี้ ยังกังวลเรื่องเงินทุนไหลออกด้วย จากที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าสูงสุดในรอบ 9 เดือน และ Bond yield ก็ปรับตัวขึ้นต่อ ซึ่งทำให้มีผลต่อเงินทุนไหลออกใน Emerging Market ส่วนที่ Bond yield ปรับตัวขึ้นมาจากการคาดการณ์เฟด จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะไปกดดันเงินเฟ้อ

พร้อมให้แนวรับ 1,485 ถัดไปก็ 1,478 – 1,480 จุด ส่วนแนวต้าน 1,510 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (14 พ.ย.) ว่า การ “ปรับพอร์ต” ของนักลงทุนทั่วโลกหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ส่งกระแสเงินทุนไหลออกจากทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ ไหลเข้าสินทรัพย์ในรูปเงินดอลลาร์ แม้ SET มีแนวโน้มถูกกดดันจากการไหลออกของกระแสเงินทุนเช่นเดียวกันตลาดหุ้นโลก แต่เนื่องจาก 1) สภาพคล่องในประเทศสูง ไม่ว่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดสูง US$3.6 หมื่นล้านช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้, เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ US$1.8 แสนล้าน 2) นักลงทุนต่างชาติถือตราสารหนี้ไทยต่ำ 14.5% เทียบกับมาเลเชีย และอินโดฯ ที่ถืออยู่ 36.6% และ 39.1% ตามลำดับ ประเมินแนวรับที่ 1,480-1,485 จุด

แม้ SET ได้รับผลกระทบจากการ “ปรับพอร์ต” ของนักลงทุนต่างชาติ แต่ยังแนะนำ “Selective” กลุ่มหุ้นที่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง ได้แก่

1) กำไรแข็งแกร่ง : BJC CPALL BEAUTY (กำไรไตรมาส 3/59 +106% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน)

2) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน : CK STEC

3) ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท : CPF (กำไรปกติไตรมาส 3/59 ที่ 5.5 พันล้านบาท +104% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้)

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (14 พ.ย.) ว่า SET ยังเคลื่อนไหวผันผวนแต่มีโอกาสฟื้นตัวจากที่ลดลงแรงเมื่อวันศุกร์ประกอบกับท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น ของนาย โดนัล ทรัมป์ ในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะทำให้ Sentiment ของตลาดกลับมาดีขึ้น โดยแหล่งข่าวระบุว่า นายโดนัล ทรัมป์ พร้อมที่จะคงนโยบาย ที่เป็นประโยชน์ของโอบามาแคร์ ซึ่งสวนทางกับนโยบายในช่วงการหาเสียงที่เขาต้องการยกเลิกกฏหมาย โอบามาแคร์ ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ธ.ค.จะยังกดดันให้ Fund Flow ต่างชาติยังคงไหลออกทำให้การฟื้นตัวของดัชนีเป็นไปอย่างจำกัด โดยหุ้นในกลุ่มพลังงานจะยังถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงเนื่องจากตลาดยังวิตกกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาดหลังจากกลุ่มโอเปค และสหรัฐ ยังผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น กลุ่มธนาคารยังมีความเสี่ยงจากแนวโน้ม NPL ที่สูงขึ้น และกลุ่มสื่อสารยังมีความผันผวนจากกระแสการควบรวมกิจการซึ่งยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน

หุ้นขนาดกลางถึงเล็กจะยังเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับหุ้น Big Cap โดยเฉพาะ หุ้นที่ผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาด อาทิ CBG, ASEFA, JMT, PAP รวมไปถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวในสัปดาห์นี้คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK, STEC, BEM, SEAFCO) รับอานิสงส์กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ Action plan ปี 60 มูลค่ากว่า 200,00 ล้านบาทเข้าครม.ในวันพรุ่งนี้ และ BJC เก็งกำไรเข้าคำนวณ MSCI รอบใหม่ และกลุ่มเดินเรือ (TTA, PSL, RCL) ดัชนีค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดของปีต่อเนื่อง

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : CBG (เป้า 85.00 บาท) งบไตรมาส 3/59 ดีเกินคาด

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (14 พ.ย.) ว่า นโยบายของทรัมป์ที่ผลักดันนโยบายลดภาษีและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศสหรัฐ ส่งผลให้ทิศทางค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า โดยเช้านี้ Dollar Index ยังแข็งค่าอีก 0.4 % และค่าเงินบาทเข้ายังอ่อนค่าอยู่ที่ระดับ 35.40 บาท/ดอลลาร์ ส่งผลให้แรงจูงใจการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาด Emerging ลดลง วันพรุ่งนี้เช้าติดตามการ MSCI Index ประกาศ rebalance ดัชนีรอบครึ่งปี กลยุทธ์การลงทุน สัปดาห์นี้วาง Filter แนวรับที่ 1,480 จุด กรณียืนได้ดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,480 – 1.520 จุด แต่กรณียืนไม่ได้แนะนำ ลดพอร์ตการลงทุน 

Back to top button