SET บ่ายผันผวน ชู 4 หุ้นเด่นกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรฯ
SET บ่ายผันผวนในกรอบแคบ พร้อมให้แนวต้าน 1,500 จุด แนวรับ 1,480 จุดโบรกฯ ชู 4 หุ้นเด่นกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรฯ มีปัจจัยหนุน นำโดย TOP, PTTGC, ESSO และ IRPC
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ภาคเช้า (24 พ.ย.) เคลื่อนไหวกรอบแคบ ด้วยมูลค่าซื้อขายเบาบาง โดยยังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามา ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียช่วงเช้าส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงบ่ายคาดว่าการเคลื่อนไหวยังมีความผันผวนในกรอบแคบ พร้อมแนะนำนักลงทุนต้องมีความระมัดระวังในการลงทุนหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ เพราะ upside มีจำกัด โดยให้จับตาทิศทางค่าเงินบาทหากอ่อนค่าต่อเนื่องอาจทำให้ต่างชาติลดถือครองหุ้นไทยมากขึ้น พร้อมให้แนวต้าน 1,500 จุด แนวรับ 1,480 จุด
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าที่ผ่านมาดัชนีผันผวนในกรอบแคบทั้งในแดนบวกและลบ และมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง โดยตลาดหุ้นในช่วงนี้ยังมีไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาส่งผลกระทบทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียในช่วงเช้าที่ผ่านมาส่วนใหญ่ดัชนีปรับตัวลดลง ยกเว้นตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะค่าเงินเยนอ่อนค่าในช่วงนี้
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายคาดว่าดัชนียังคงผันผวนในกรอบแคบเช่นเดียวกับช่วงเช้า เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ อีกทั้งยังมองว่า upside ของตลาดนั้นจะมีอยู่ในกรอบจำกัด โดยแนะนำนักลงทุนต้องมีความระมัดระวังในการลงทุน เพราะในด้าน downside อาจจะปรับลงแรงได้ หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญเข้ามากระทบ
นอกจากนี้สำหรับตลาดหุ้นไทยจะยังต้องติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท หากมีแนวโน้มที่ยังอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติลดการถือครองหุ้นไทยลงมากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติทยอยขายไปค่อนข้างมากแล้วพร้อมให้แนวต้าน 1,500 จุด แนวรับ 1,480 จุด
บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (24 พ.ย.) ว่า SET ภาคเช้าเคลื่อนไหว sideways up ไปที่ 1,510 +/- จุด แม้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และ Bond Yield ทีปรับสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยบ่งชี้ถึงการไหลออกของกระแสเงินทุน และเป็นปัจจัยกดดัน SET อย่างไรก็ดี ด้วย 1) สภาพคล่องในประเทศสูง นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นในตลาดหุ้นไทยในสัดส่วนต่ำเพียง 29.6% และ 2) แรงหนุนจากกองทุน LTF ปลายปี จะทำให้ Downside Risk จำกัด
ในขณะเดียวกัน แนะนำ “ซื้อ” กลุ่มโรงกลั่น+ปิโตรฯ โดยเฉพาะ Laggard Plays อย่าง IRPC ค่าการกลั่นที่ทรงตัวในระดับสูง US$7-8/bbl ในช่วงไตรมาส 4/59 รวมไปถึงส่วนต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ปิโตรฯ กับวัตถุดิบ (Product to Feed margin) ที่ฟื้นตัว ทั้งในสาย Aromatic และ Olefin เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น+ปิโตรฯ อย่าง TOP PTTGC ESSO และ IRPC
โดยฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” IRPC ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 6.80 บาท และระยะสั้นที่ 5.0 บาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ราคาหุ้นที่ Laggard กลุ่มในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59ที่ต่ำกว่าคาดเล็กน้อยไปแล้ว 2) ค่าการกลั่นที่ทรงตัวในระดับสูง และ Spread ปิโตรฯ ที่ดีขึ้น รวมไปถึงหน่วย Upgrade โรงกลั่น (UHV) ที่เดินเครื่องเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรกในไตรมาส 4/59 จะสนับสนุนผลการดำเนินงานไตรมาส 4/59เติบโตแกร่ง 3) PE ปัจจุบันที่ 8.2-7.3x ในปี 2016-17 และ Dividend Yield ที่ 5.4-6.8% เป็น Downside Protection ที่ดีของ IRPC 4) โครงสร้างบริษัทที่เปลี่ยนไป หลัง Upgrade หน่อยกลั่นน้ำมัน และเพิ่มสัดส่วนสินค้า margin สูงอย่าง Polypropylene ในปีหน้า จะทำให้กำไร IRPC มีเสถียรภาพสูงขึ้น ในระยะยาว คาดกำไรโต +152% ปีนี้ และ13% ปีหน้า
สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า
TPIPL มูลค่าการซื้อขาย 1,227.33 ล้านบาท ปิดที่ 2.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 637.57 ล้านบาท ปิดที่ 347.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
IRPC มูลค่าการซื้อขาย 552.59 ล้านบาท ปิดที่ 4.82 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
BANPU มูลค่าการซื้อขาย 480.82 ล้านบาท ปิดที่ 18.80 บาท ลดลง 0.10 บาท
IVL มูลค่าการซื้อขาย 418.66 ล้านบาท ปิดที่ 33.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท