SET บ่ายแกว่งแคบ-ไร้ปัจจัยใหม่หนุนโบรกฯ แนะ “ซื้อ” RJH” ชูเป้า 29 บาท

SET บ่ายแกว่งแคบ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน หากดัชนีหลุด 1,500 จุด คงไม่เกิน 5-10 จุด โบรกฯ แนะ "ซื้อ" RJH" ชูเป้า 29 บาท คาดกำไรปี 59-60 โตแกร่งที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ภาคเช้า (6 ธ.ค.) แกว่งแคบหลังไร้ปัจจัยหนุนสำคัญ ขณะที่มีประเด็นกดดันตลาดมาจากข่าวที่รัฐบาลอินโดนีเซีย จะอายัดใบอนุญาตและสินทรัพย์ของ PTTEP จากเหตุน้ำมันรั่วของโครงการมอนทารา ด้านปัจจัยต่างประเทศกรณีผลการลงประชามติของอิตาลี ที่ประชาชนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศนั้น อาจทำให้ค่าเงินเอเชียชะลออ่อนค่าชั่วคราว ส่วนทิศทางช่วงบ่าย คาดดัชนีแกว่งแคบบวกลบไม่เกิน 5-10 จุด

นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งแคบบวกลบเล็กน้อยไม่ค่อยขยับไปไหน ประเด็นกดดันตลาดวันนี้มีเรื่องเดียวจากข่าวที่รัฐบาลอินโดนีเซีย จะอายัดใบอนุญาตและสินทรัพย์ของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของโครงการมอนทารา ซึ่งทาง PTTEP ก็ยังไม่ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยมองว่าผลกระทบจะไม่มาก เพราะปริมาณการผลิตจากแหล่งปิโตรเลียมในอินโดนีเซียของ PTTEP คิดเป็นเพียง 1.3% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด หรือกระทบ Fair Value ราว 1.8 บาท/หุ้น นอกจากนี้ยังไม่มีประเด็นอื่นในประเทศ เข้ามาเพิ่มเติม

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ กรณีผลการลงประชามติของอิตาลีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติคัดค้านการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากติดตามข่าวก็จะพบว่ากรณีดังกล่าวกดดันค่าเงินเอเชียชะลอการอ่อนค่าลงชั่วคราว

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงบ่าย คาดว่าจะแกว่งแคบหากดัชนีหลุด 1,500 จุด ก็คงไม่เกิน 5-10 จุด เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยหนุนสำคัญช่วงนี้ คำแนะนำช่วงนี้นักลงทุนอาจเลือกหุ้นที่จ่ายปันผลสูง

 

บล.ธนชาตระบุในบทวิเคราะห์ (6 ธ.ค.) ว่า SET ภาคเช้า เคลื่อนไหวแคบ ด้วยปริมาณการซื้อขายลดลงต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทในช่วงเข้าที่ผ่านมา แต่ยังลั้นการปรับสูงขึ้นไปที่เป้าหมายระยะสัปดาห์ที่ 1,520 +/- จุด เหมือนเดิม จาก 1) แรงซื้อหุ้นผ่านกองทุน LTF 2) ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อหลัง OPEC ลดกำลังการผลิตลง เป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มพลังงาน ขณะที่ Consensus เริ่มปรับประมาณการกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มองการปรับลดลงของ PTTGC วันนี้ เป็นโอกาส “ซื้อ” ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 73 บาท และ 3) คาดรัฐบาลอกมาตรการกระตุ้นบริโภคเพิ่มในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ และความคืบหน้าลงทุนรถไฟรางคู่-รถไฟฟ้า มูลค่ารวม 3 แสนล้านบาทแนะนำ “ซื้อ” PTT PTTGC BJC (การออกหุ้นกู้ 2.8 หมื่นล้าน ต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.1% เป็นปัจจัยบวกต่อกำไรปีหน้า) CK HMPRO CPALL และ BEAUTY

ในขณะเดียวกัน แนะนำ “ซื้อ” RJH ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 29.0 บาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การเติบโตกำไรสูง 53% ปีนี้ และ 29% ปีหน้า สูงที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล (PEG 1.2x ต่ำกว่ากลุ่มที่ 3.5x) จากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด และศูนย์โรคหัวใจได้รับการตอบรับที่ดีและเข้าสู่จุดคุ้มทุนแล้วในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา 2) แนวโน้มการปรับค่ารักษาพยาบาลตามความร้ายแรงของโรค (RW) ของประกันสังคมปีหน้า เป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาลที่รับลูกค้าประกันสังคม โดย RJH มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าประกันสังคมสูง 45% สูงสุดในกลุ่มโรงพยาบาลที่รับลูกค้าประกันสังคม 3) การขยายเตียงที่โรงพยาบาลราชธานีเป็น 184 เตียง (จาก 161 เตียง) และราชธานีโรจนะ เป็น 48 เตียง (จาก 24 เตียง) ในปี 2017 รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการรักษาโรคเฉพาะทาง และ MRI จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตกำไรในระยะยาว

 

สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า

PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,224,54 ล้านบาท ปิดที่   87.25 บาท ลดลง  2.25 บาท

PTT  มูลค่าการซื้อขาย   871.06 ล้านบาท ปิดที่  357.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

PTTGC มูลค่าการซื้อขาย   584.66 ล้านบาท ปิดที่   62.75 บาท ลดลง  2.00 บาท

AOT มูลค่าการซื้อขาย   577.25 ล้านบาท ปิดที่  396.00 บาท ลดลง  1.00 บาท

GL  มูลค่าการซื้อขาย   552.84 ล้านบาท ปิดที่   60.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

Back to top button