หาจังหวะเก็บของช่วง SET พักฐานเก็ง 12 หุ้นร้อน เน้นการลงทุนปี 60
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้พักฐานตามตลาดต่างประเทศหลังเฟดส่งสัญญาณปรับเพิ่มจำนวนครั้งของการขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวของดัชนีมองว่าเป็นโอกาสเข้าเก็งกำไรในหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นช่วงปลายปี โดยเน้นกลุ่มโภคภัณฑ์, หุ้นที่มีรายได้สกุลดอลลาร์ และหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.26 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.68 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์ก หลังธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% ในการประชุมวานนี้ พร้อมส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีหน้า
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้พักฐานตามตลาดต่างประเทศหลังเฟดส่งสัญญาณปรับเพิ่มจำนวนครั้งของการขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวของดัชนีมองว่าเป็นโอกาสเข้าเก็งกำไรในหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นช่วงปลายปี โดยเน้นกลุ่มโภคภัณฑ์, หุ้นที่มีรายได้สกุลดอลลาร์ และหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว หุ้นเด่นเลือก STA-BLA-CPALL-BJC-WORK-PLANB-CK-ESSO-HANA-NYT-EPG และ ASEFA
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ธ.ค.) ว่า FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 0.50 – 0.75% ตามคาด แต่ด้วยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น และการจ้างงานฟื้นตัวส่งผลให้โอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 3 ครั้งจากเดิม 2 ครั้ง และเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาวเป็น 3% ส่งผล Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.57% เช้านี้ และเงินบาทอ่อนค่ามาที่ 35.7 บาท/ดอลลาร์ฯ เร่งการไหลออกของกระแสเงินทุน แต่ยังมองแรงซื้อกองทุน LTF ปลายปีทำให้ Downside Risk จำกัดที่ 1,516 หรือถัดไปที่ 1,500 – 1,506 จุด (EMA 21 วัน)
ขณะที่ SET มีความเสี่ยง “พักฐาน” ระยะสั้นเพิ่มขึ้น แนะนำ 1) ระยะสั้นเน้นกลุ่มหุ้นที่มี momentum แข็งแกร่งกว่าตลาด: แนะนำ “ซื้อ” STA ต่อ ราคายางปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง 5% และ “เก็งกำไร” BLA (ต้าน 55.75/56.25) จาก 1) คาดบันทึกจากการกลับรายการสำรอง 2 พันล้านบาทในไตรมาส 4/16 2) Bond Yield เพิ่ม Return on Investment ในอนาคต
2) ระยะกลาง-ยาว แนะนำ “ซื้อ” Consumption, Infrastructure Plays และโรงกลั่น : CPALL BJC WORK PLANB CK ESSO (PE ต่ำสุดในกลุ่ม)
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ธ.ค.) คาดตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามตลาดภูมิภาค หลัง FED ส่งสัญญาณปรับเพิ่มจำนวนครั้งของการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าจาก 2 ครั้งเป็น 3 ครั้งซึ่ง Surprise ตลาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น 11bps แตะระดับ 2.58% และ Dollar index ปรับตัวขึ้น 1.2% ปิดที่ระดับสูงสุดนับแต่ปี 2003 ที่ 102.2 จุด กดดัน SET จะเผชิญภาวะเงินทุนไหลออกอีกรอบ
อย่างไรก็ตาม มอง Downside risk จำกัด เพราะมีเม็ดเงิน LTF ของนักลงทุนสถาบันในประเทศรอซื้ออยู่ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ Earnings yield ของตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 7.2% (บน P/E ปี 2017 ที่ 13.8x) เมื่อหัก US bond yield ที่ 2.58% ออกยังมี Yield gap กว่า 4.6% ถือว่ายังพอรับอยู่ ขณะที่เงินทุนไหลออกจะกดดัน SET index ในระยะสั้น และฉุดให้ค่าเงินบาทอ่อนลง ซึ่งค่าเงินบาทที่อ่อนลงจะถือเป็นส้มหล่นสำหรับภาคการส่งออก
ดังนี้แนะนำให้เน้นการลงทุนปี 2560 ไปที่หุ้นโภคภัณฑ์, หุ้นที่มีรายได้สกุลดอลลาร์ และหุ้นที่มีประเด็นเฉพาะตัว ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE, HANA) กลุ่มผู้ส่งออกอาหาร (TWPC, CPF, TU) และกลุ่มท่องเที่ยว (MINT) นอกจากนี้หุ้นที่คาดว่าจะได้รับเข้าคำนวณในดัชนี SET50/SET100 รอบใหม่ ซึ่งจะประกาศในสัปดาห์นี้คาดจะมีแรงเก็งกำไรเช่นกัน หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 คือ SPRC PTG GL GLOBAL THAI และ SET100 TKN ESSO GFPT STA และ VIBHA
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : HANA (under review) ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และยอดสั่งซื้อ Semi – Conductor พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนตุลาคม
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ธ.ค.) คาด SET วันพฤหัสฯ ลงต่อ แต่เป็นโอกาสเข้าเก็งกำไร มองหุ้นขึ้นช่วงปลายปี (วานนี้ดัชนีฯ แกว่งลง แย่กว่าคาด) ฟันด์โฟลว์น่าจะเน้นขายต่อในวันนี้ หลังค่าเงินดอลล่าร์ฯ พุ่งแรงและบอนด์ยิลด์ 10 ปีสหรัฐฯ พุ่งแรงถึง 0.14% สะท้อนการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ของเฟดเมื่อคืน (เป็นไปตามนักเศรษฐศาสตร์ KGI และ consensus คาด) และเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2560 ซึ่งมากกว่าเดิมที่ส่งสัญญาณขึ้น 2 ครั้ง ขณะที่ทาง KGI ยังมองเฟดขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2560
นอกจากนี้ หุ้นน้ำมันน่าจะชะลอตัว หลังตัวเลขการผลิตของโอเปก พ.ย. สูงถึง 33.87 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ตลาดตั้งคำถามต่อแนวทางลดปริมาณผลิตที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ตาม มองดัชนีฯ ที่อ่อนลงเป็นโอกาสซื้อ เนื่องจากต่างชาติจะชะลอซื้อขายในเร็วๆ นี้ ก่อนหยุดยาว ขณะที่ฝั่งสถาบันน่าจะยังมีเม็ดเงิน LTF เข้าสนับสนุนจนถึงสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ช่วงวันที่ 1 – 14 ธ.ค. สถาบันฯ เพิ่งซื้อสุทธิไป 369 ล้านบาท เทียบกับสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาชี้ว่าสถาบันฯ ซื้อสุทธิเฉลี่ย 1.2 หมื่นล้านบาทในเดือน ธ.ค. ของแต่ละปี
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน NYT (เป้า Consensus 17.30 บาท), EPG (เป้า Consensus 16.70 บาท) และ ASEFA (เป้า Consensus 8.90 บาท)