SET ขึ้นต่อ รับเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงเก็ง 3 หุ้นใหญ่เป้าต่างชาติ ราคา Laggard
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อหลังปัจจัยโดยรวมยังเป็นบวก ขณะที่กระแสเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าจะช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้า เป็นผลดีต่อหุ้น Big Cap การลงทุนแนะนำเก็งกำไรหุ้นใหญ่เป้าต่างชาติที่ราคา Laggard รวมถึงหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากการลงทุนของภาครัฐฯ และกลุ่ม Soft Commodities ที่ได้รับผลบวกราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.22 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.78 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามทิศทางของตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน หลังธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือน ธ.ค. โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นการคลังของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อหลังปัจจัยโดยรวมยังเป็นบวก ขณะที่กระแสเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าจะช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้า เป็นผลดีต่อหุ้น Big Cap การลงทุนแนะนำเก็งกำไรหุ้นใหญ่เป้าต่างชาติที่ราคา Laggard รวมถึงหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากการลงทุนของภาครัฐฯ และกลุ่ม Soft Commodities ที่ได้รับผลบวกราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น หุ้นเด่นเลือก AOT-CPF-PTTGC-KTB-TMB-BCP-IRPC และ SPRC
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ม.ค.) Momentum ตลาดแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ โดยหุ้น Momentum “บวก” ในรายงาน Trade Code คิดเป็น 90% ของ Market Cap ประกอบกับ 1) กระแสเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก (Risk-on) และ 2) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน Brent +1.8% เมื่อคืนนี้ เป็นปัจจัยสนับสนุน SET ปรับสูงขึ้นต่อไปที่ Downtrend line ตั้งแต่ปี 2013-ปัจจุบันที่ 1,585-1,590 จุด…แต่ด้วย Valuation ที่สูงด้วย PE 15.4 เม่า ทำให้ยังมีความกังวลต่อการ “พักฐาน” ในช่วงต้นเดือน ม.ค. ต่อไป
แนะนำ “ซื้อ” KTB (พื้นฐาน 21.00 บาท – PE ที่ 7.6 เท่า ต่ำสูดในกลุ่มธนาคาร ได้ประโยชน์ปรับโครงสร้างหนี้ SSI และจ่ายปันผลปีละครั้งให้ Div yield 5% แนวต้านระยะสั้นที่ 18.90 – 19.00 บาท) และ TMB (พื้นฐาน 2.56 บาท – กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/16 เป็นต้นไป แนวต้าน 2.32 บาท) ทีเป็น Laggard plays ในกลุ่มธนาคารปรับสูงขึ้น 5-6% ในช่วง 1.5 เดือนที่ผ่านมา เทียบกับ KBANK และ SCB ที่ปรับสูงขึ้น 8-13%
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ม.ค.) คาด SET ยังมีโอกาสขึ้นต่อ โดยตลาดจะยังได้โมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องจากเมื่อวาน Bond Yield 10 ปีของไทยที่เริ่มปรับตัวลง ค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าจะยังหนุนให้ Fund Flow ยังไหลเข้าเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่ม Big Cap อาทิ พลังงาน ธนาคาร และ สื่อสาร โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่วันนี้ยังได้ผลบวกจากราคาน้ำมันดิบที่กลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากคูเวตออกมายืนยันจะปรับลดกำลังการผลิตตามข้อตกลงของกลุ่ม OPEC ส่วนหุ้นขนาดกลางถึงเล็กจะยังมีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่ม รับเหมาและวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการที่ภาครัฐเตรียมเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น กลุ่ม Soft Commodities รับผลบวกราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น อาทิ กลุ่มยางพารา กลุ่มน้ำมันปาล์ม และ กลุ่มน้ำตาล
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy
หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : เน้นกลุ่ม Big Cap ที่เป็นเป้าของนักลงทุนต่างชาติแต่ราคายัง Laggard คือ AOT (ซื้อ/เป้า 480.00 บาท), CPF (ซื้อ/เป้า 42.00 บาท), PTTGC (ซื้อ/เป้า 68.00 บาท)
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ม.ค.) ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวในช่วงปีใหม่หลังจาก Markit รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตทั่วโลกเดือน ธ.ค. ขยายตัวสูงสุดในรอบ 34 เดือน ขณะทีรายงานการประชุมเฟดเดือน ธ.ค. ยังระบุทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐยังเป็นทยอยปรับขึ้น ส่งผลให้ Dollar Index วานนี้ลดลง 0.42 % และเม็ดเงินลงทุนไหลกลับสู่สินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน : ทิศทางการฟื้นตัวของภาคการผลิตยังส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และมูลค่า GDP ไทยปีนี้มีโอกาสฟื้นตัวตามราคาน้ำมัน ประกอบกับทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐยังไม่กดดันตลาด ส่งผลให้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในทิศทาง Sideway Up โดยหากปริมาณการซื้อขายยังสูงระดับมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,575 จุด ระยะสั้นแนะนำเก็งกำไร BCP, IRPC และ SPRC (+ค่าการกลั่นไตรมาส 4/59 +32% จากไตรมาสก่อน)