SET ผันผวน-ปัจจัยลบในปท.ฉุดดัชนีสลับเล่น 11 หุ้นเด่นมีประเด็นปันผลสูง
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ ผันผวนอิงทางลง โดยคาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับปรับตัวลดลงมากยิ่งขึ้น รวมถึงปัจจัยลบทั้งความอ่อนแอทางด้านเศรษฐกิจในปีนี้ที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 3.0% หรือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปีนี้ สำหรับหุ้นเด่นวันนี้ ได้แก่ ADVANC, SCC, THCOM,IRPC, SCC,UWC, FSMART,STA, INTUCH, ADVANC, TRUEIF
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเช้านี้ ณ เวลา 9.14 น. ค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 34.44 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังเงินเยนอ่อนค่าหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นทะยานขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากที่กรีซสามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารกลางยุโรป (ECB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวานนี้
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ ผันผวนอิงทางลง โดยคาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับปรับตัวลดลงมากยิ่งขึ้น รวมถึงปัจจัยลบทั้งความอ่อนแอทางด้านเศรษฐกิจในปีนี้ที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 3.0% หรือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปีนี้ สำหรับหุ้นเด่นวันนี้ ได้แก่ ADVANC, SCC, THCOM,IRPC, SCC,UWC, FSMART,STA, INTUCH, ADVANC, TRUEIF
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์( 21 ก.ค.) คงน้ำหนักการลงทุนวันนี้เป็น “กลาง” วันที่ 12 พร้อมภาพ SET INDEX ที่อ่อนแรง สะท้อนจากมูลค่าการซื้อขายที่ลดลงเหลือเพียง 2.5 หมื่นล้านบาท/วัน +/- นับตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้า แม้ว่าหุ้นหลักในกลุ่มธนาคารจะออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ก็ตาม แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับปรับตัวลดลงมากยิ่งขึ้น กลายเป็นจุดที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนในช่วงนี้ขาดความน่าสนใจ ทั้งๆ ที่ปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ณ ปัจจุบัน เป็นกลาง ปัจจัยลบทั้งความอ่อนแอทางด้านเศรษฐกิจในปีนี้ที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 3.0% หรือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปีนี้ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ต่างรับรู้ไปมากแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากถึง 4.45% YTD ปิดล่าสุดวานนี้ เท่ากับว่าตลาดหุ้นไทยได้ถูก Discount ไปถึง 4.45% ในรูปของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้ง SET INDEX ของ YTD ติดลบ 2.1% ย่อมทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปแล้วทั้งสิ้น 6.52% ในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ หุ้นหลักหลายๆ ตัว โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร เราเชื่อว่าราคา ณ ปัจจุบัน อยู่ในโซนของการสะสมหุ้นเพื่อการลงทุนระยะกลางถึงยาว ซึ่งนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ อาจหาจังหวะของการกลับมาสะสมหุ้นหลักที่ผลการดำเนินงานยังคแข็งแกร่ง และ/หรือ ผลตอบแทนปันผลราว 3% ต่อปี น่าจะเป็นเป้าหมายของการสะสมของนักลงทุนสถาบันในรอบนี้
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศกลับเป็นกลางในช่วงนี้ และหากพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นหลักๆ ทั่วโลก อย่าง DJIA / NIKKEI / Stoxx50 ต่างแกว่งในกรอบแคบเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ “นักลงทุนที่ทยอยขายทำกำไรไปแล้วบางส่วนบริเวณ 1,490 จุด +/- อาจกลับมาสะสมหุ้นเป้าหมายที่ราคาปรับฐานลงแรง ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานที่ยังแข็งแกร่ง”
Accumulative Buy: ADVANC/ SCC
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ค.) ว่า แม้ SET ปิดต่ำกว่าแนวรับรูปแบบลิ่มที่ 1,467 จุด ในช่วงปิดตลาด แต่ปริมาณการซื้อขายที่ต่ำเพียง 2.5 หมื่นล้าน ทำให้มองว่า SET ยังมีโอกาสกลับมายืนได้เหนือ 1,467 จุด อีกครั้งวันนี้ จาก 1) กลุ่มสื่อสาร อย่าง ADVANC INTUCH ได้ประโยชน์จากการประมูล 4G และปันผล 2.5-2.7% 2) กลุ่มธนาคาร ส่วนใหญ่ประกาศกำไร 2Q15 ใกล้เคียงคาด ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงไปก่อนหน้าแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศฟื้นตัว หลังปัญหาหนี้กรีซคลี่คลาย
”Selective” กลุ่มรับเหมาฯ และสื่อสาร: แนะนำ “Selective” กลุ่มสื่อสาร อย่าง INTUCH ADVANC TRUEIF (แนะนำ “ขาย” DTAC หลังประกาศผลการดำเนินงาน 2Q15 อ่อนแอกว่าคาด โดยลดลง -53% y-y, -40% q-q ที่ 1.38 พันล้านบาท) ที่มีจุดเด่นด้านปันผล และได้รับผลดีจากการประมูล 4G รวมไปถึงกลุ่มรับเหมาฯ อย่าง CK STEC SEAFCO ที่ได้รับผลดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เร่งตัวขึ้น
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ค.) ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ แกว่งลง กังวลเศรษฐกิจ-บาทอ่อน ยังกดดันตลาด
คาดดัชนีวันนี้ผันผวนอิงทางลง ความกังวลต่อเงินบาทอ่อนเร็ว หลังเศรษฐกิจไทยชะลอมาก+มุมองเฟดขึ้นดอกเบี้ย จะกดดันหุ้นกลุ่มหลักต่อไป ขณะที่ปัจจัยบวกจากฝั่งกรีซได้รับรู้ไปแล้ว โดยเมื่อวานกรีซได้ชำระหนี้ ECB และหนี้ที่ค้างจ่ายให้ IMF เรียลบร้อย และเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนปฏิรูปการคลังขนานใหญ่เพื่อรับความช่วยเหลือมูลค่า 8.6 หมื่นล้านยูโรในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้หลังปรับประมาณการกำไรใหม่ คาด EPS ของ SET สิ้นไตรมาส 3/58 และสิ้นปี 58 ที่ 88.0 และ 92.5 ตามลำดับ และมองระดับ downside ของ SET ไตรมาส 3/58 กรณีปกติที่ 1450 จุด (อิง PE 16.5 เท่า*88.0 จุด) และกรณีแย่ที่ 1407 จุด (อิง PE 16.0 เท่า*88.0 จุด)
หุ้นเด่นวันนี้ เก็งกำไร SCC/รับเสี่ยงได้เก็งกำไร UWC
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ค.) แรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนในประเทศ เป็นแรงหนุนหลักที่ทำให้ SET Index ยืนอยู่ที่ระดับสูงได้ ทั้งที่แรงรับทางปัจจัยพื้นฐานไม่ว่า GDP Growth หรือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน อ่อนแรงลง Downside ของ SET Index จึงยังมีอยู่ แนะนำถือหุ้น High Dividend Yield และหุ้นที่ภูมิคุ้มกันสูงจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว โดยยังเลือก THCOM (FV@B51) และเลือก IRPC([email protected]) เป็น Top pick
บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ค.) ความกังวลเรื่องภัยแล้งยังคงกดดันตลาดอยู่ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งตัวในรอบ 3 เดือน ส่งผลให้เกิดแรงขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่และสินค้าโภคภัณฑ์ เรามองว่าภาวะตลาดน่าจะเริ่มทรงตัวและดีขึ้นในช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์ ประกอบกับในอาทิตย์หน้า คงจะมีความคืบหน้าของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ดังนั้นลักษณะการเล่นจะยังคงเป็นแบบ รายกลุ่มและหุ้นรายตัวต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานสื่อสาร รับเหมา เดินเรือและสินค้าเกษตรประเภท ยาง ถั่วเหลืองและปาล์มน้ำมันวันนี้มองตลาดเปิดขึ้นมาน่าจะยังมีแรงกดดันให้ปรับตัวลงไปอีก แต่คงไม่ลึก เนื่องจากมองว่าจะเริ่มมีแรงซื้อบริเวณ 1460+/- จุด โดยตลาดจะยังแกว่งตัวทั้งแดนบวกและลบหลังไม่มีปัจจัยทั้งเชิงบวกและลบ วันนี้แนวรับอยู่ที่ 1462-1458 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1472-1476
Themes play : FSMART ราคาเป้าหมาย 16 บาท
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ค.) ทิศทางตลาด : ผันผวน? โดยยังให้น้ำหนักปัจจัยในประเทศ จากการทยอยประกาศผลการดำเนินงาน ซึ่งเริ่มจากกลุ่มธนาคาร ที่คาดส่วนใหญ่อยู่ในความคาดหมายของตลาด จากความกังวลประเด็นหนี้ NPL’s อย่างไรก็ตามคาดราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยดังกล่าวไปบ้างแล้ว ทำให้คาดมีโอกาสที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในกลุ่มธนาคารหลังประกาศงบการเงิน
ทางด้าน Fund Flow ภาพรวมยังมีความผันผวน แรงซื้อ / ขายสุทธิของต่างชาติสลับกัน แต่มูลค่าไม่มาก ขณะที่แนะจับตาการปรับลดคาดการณ์ GDP ของหลายๆ หน่วยงานอีกครั้ง หลังมีความกังวลการเติบโตในช่วงที่เหลือ และได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง พร้อมกับการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล โดยเน้นกลุ่มที่มีรายได้น้อย เพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ (C) นอกจากการลงทุนผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐ (G)
ทางด้านประเด็นต่างประเทศ คาดภาพรวมตลาดถูกกดดันเพิ่มขึ้นจากความเป็นไปได้ที่เฟดจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี) ภายในปีนี้ หลังประธานเฟดส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจน คาดทำให้เงินสหรัฐฯ ยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้น แนะจับตาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายในรูปสกุลเงินสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้นเมื่อเทียบกับการถือครองสกุลเงินอื่นๆ
และยังแนะติดตาม (1) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC และ BCP ตามการเคลื่อนไหวของค่าการกลั่น ล่าสุดเคลื่อนไหวบริเวณ 5 – 6 USD/bll ลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8 – 9 USD/bll ยังไม่เหมาะในการเก็งกำไรระยะสั้น แต่เรามองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัวสำหรับการลงทุนในระยะยาวกลาง – ยาว (2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดยังคงได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น CK, ITD, SEAFCO และ UNIQ (3) ค่าเงินบาท ล่าสุดมีทิศทางอ่อนค่า โดยเคลื่อนไหวบริเวณ 34.44 – 34.47 คาดส่งผลดีต่อกลุ่มส่งออก และหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA, KCE, SMT (4) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC และ TASCO, VNG เป็นต้น (5) กลุ่มท่องเที่ยวยังคงได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หุ้นที่ได้รับผลดี เช่น CENTEL และ (6) กลุ่มเดินเรือ เช่น TTA และ PSL จาก Baltic Dry Index – BADI ที่เพิ่มต่อเนื่องจาก 788 เมื่อต้นเดือนกค. อยู่ที่ 1,067 (ล่าสุดเช้านี้) รวมถึงกลุ่มพลังงานที่ได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่ยังมีทิศทางลดลง
หุ้นแนะนำ : STA