SET บ่ายลุ้นวัด 1,450 จุดแนะหุ้นกลุ่มสื่อสาร-รับเหมา
SET ปรับลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากเกิดความกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงผลประกอบการบริษัทขนาดใหญ่ออกมาไม่ดี และตลาดบ้านเราได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง คาดช่วงบ่ายดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสเด้งขึ้นทดสอบ 1,450 จุด หากไม่ผ่าน มีแนวรับถัดไปที่ 1,440-1,420 จุด ส่วนแนวต้าน 1,450-1,460 จุด
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน ตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ช่วงเช้า (22 ก.ค.) ปรับตัวลงทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากมีความกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย และผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงตลาดบ้านเราได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์คาดช่วงบ่าย ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้างในทางเทคนิค แต่ปัจจัยพื้นฐาน และ Earning ที่ไม่ดียังกดดันการปรับตัวขึ้นของดัชนี หากไม่ผ่าน 1,450 จุด จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,440-1,420 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,450-1,460 จุด สำหรับกลยุทธ์หลัก แนะนำกลุ่มสื่อสาร อย่าง INTUCH-ADVANC-TRUEIF และรับเหมา CK-STEC-SEAFCO ต่อไป รวมถึง EA ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 30 บาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยถึง ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่อ่อนตัวลง เนื่องจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาดจากผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ส่วนตลาดบ้านเราก็เช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจซบเซามานานพอควร และไตรมาส 2/58 ตัวเลข NPL ของกลุ่มแบงก์ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งในแง่ของการทำธุรกิจรายได้อาจเริ่มชะลอ และการส่งออกในไตรมาส 2/58 ยังติดลบ แม้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่า เห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มส่งออกไม่ได้ปรับตัวขึ้น เนื่องจากกังวลคำสั่งซื้อจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าของเงินบาทที่อ่อนค่าลงไป
อีกทั้งในแง่ของ Earning Growth ของบริษัทจดทะเบียนอาจถูกนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการ เนื่องจากเริ่มมองว่าครึ่งปีหลังของปี58 คงยังไม่ฟื้นตัวเท่าใดนัก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐอาจออกมาในปีนี้น้อยกว่าคาด จากที่กระทรวงคมนาคมวางงบลงทุนไว้อาจต้องเลื่อนถึง 730,000 ล้านบาทไปเป็นปี 59-60
แนวโน้มการลงทุนบ่ายนี้ คาดว่าดัชนีหุ้นไทยอาจเด้งขึ้นมาได้บ้างในทางเทคนิค แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้ดีขึ้น และ Earning ที่ไม่ดีอาจทำให้ตลาดยังปรับตัวลงได้ต่อไป ซึ่งหากไม่ผ่าน 1,450 จุด ก็จะมีแนวรับถัดไปที่ 1,440-1,420 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,450-1,460 จุด
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (22 ก.ค.) SET ปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตลาด ตามการปรับลดลงของตลาดหุ้นโลกที่ปรับลดลง และ Sentiment ที่อ่อนแอหลังจากหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,450 จุด เมื่อวานนี้ โดยหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT-PTTEP เป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาดในช่วงเช้าที่ผ่านมา
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารเริ่มมีสัญญาณ “ฟื้นตัว” โดยเฉพาะ KTB ที่ปรับสูงขึ้นเหนือแนวต้านระยะสั้นที่ 17.10 บาท จะมีเป้าหมายการฟื้นตัวที่ 17.70-17.90 บาท ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 7% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 8.4 พันล้านบาท (แม้ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 102% จากไตรมาสก่อนหน้า เพื่อรองรับหนี้ของ SSI แล้วก็ตาม)
ทั้งนี้ ในทางพื้นฐานปัจจุบันซื้อขายที่ PE 7.75 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่ 9.76 เท่า) และ PBV 0.93 เท่า อิง Expected ROE ปี 58 ที่ 12.4% (ค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารที่ 1.25 เท่า อิง ROE 12.8%) และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มธนาคารที่ 5.2% ปีนี้
สำหรับกลยุทธ์หลักแนะนำ “Selective” กลุ่มสื่อสาร อย่าง INTUCH-ADVANC-TRUEIF และรับเหมา CK-STEC-SEAFCO ต่อไป รวมไปถึง “ซื้อ” EA ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 30 บาท จาก 1) ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 เติบโตแกร่งเป็น 800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาสก่อน และ +96% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคงคาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 3.05 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 89.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในปี 59 (การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่พิษณุโลก 90MW และพลังงานลาม Hadd 126MW เป็นไปตามแผน) คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.9 พันล้าน หรือ 95% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
2) ผลการดำเนินงานมีความมั่นคงสูง และ PE ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 23 เท่าปีนี้ เป็น 12เท่าในปี 59 และ 9.3 เท่า ในปี 60 พร้อม Dividend Yield ที่เพิ่มขึ้นจาก 1.3% ปีนี้เป็น 2.5-3.8% ในปี 59-60
3) มี Upside จากการลงทุนในอนาคต ด้วย D/E ที่ค่อยๆ ลดลงต่อเนื่องจาก 2.2 เท่าปีนี้ เป็น 1.9-1.5 เท่าในปี 59-60 ขณะที่ทางเทคนิคมีแนวรับที่ 19 และ 18.40 บาท ตามลำดับ
สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า
PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,821.90 ล้านบาท ปิดที่ 316.00 บาท ลดลง 6.00 บาท
KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,054.55 ล้านบาท ปิดที่ 17.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 940.95 ล้านบาท ปิดที่ 181.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
TPIPL มูลค่าการซื้อขาย 919.01 ล้านบาท ปิดที่ 2.42 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท
JAS มูลค่าการซื้อขาย 834.46 ล้านบาท ปิดที่ 5.20 บาท ลดลง 0.05 บาท
ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์