SET เริ่มมีแรงซื้อกลับในกลุ่มสื่อสาร-พลังงานหาจังหวะเก็บ 16 หุ้นพื้นฐานดี-ปันผลแจ่ม
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นแต่เป็นไปอย่างจำกัด มูลค่าการซื้อขายเบาบางลง เนื่องจากเป็นช่วงคาบเกี่ยววันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงานเช้านี้ ณ เวลา 9.22 น. ค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.14 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ หลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามแรงซื้อที่เริ่มกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน และสื่อสาร แต่คาดว่าการปรับตัวขึ้นจะเป็นไปอย่างจำกัด มูลค่าการซื้อขายเบาบางเนื่องจากเป็นช่วงคาบเกี่ยววันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย หุ้นเด่นเลือก SCC-SAMART-BANPU-ADVANC-KBANK-PTT-INTUCH-ITD-TRUEIF-STEC-CK-SEAFCO-EA-PTTGC-CENTEL และ HANA
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งแคบ เนื่องจากผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ออกมายังไม่ชี้ชัดถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เมื่อไรในปีนี้ แต่ก็ยังคงทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ เงินบาทก็อ่อนค่าอยู่ แต่ตลาดก็ยังมีลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6 ด้านที่กระทรวงการคลังประกาศออกมา แม้ว่ามาตรการที่ออกมาจะไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นการเร่งรัดการใช้จ่าย ซึ่งก็ต้องรอดูผลในทางปฏิบัติด้วยว่าจะเป็นไปได้แค่ไหน
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งทั้งในแดนบวก-ลบ พร้อมให้แนวรับ 1,400-1,410 จุด ส่วนแนวต้าน 1,420-1,422 ถัดไป 1,430-1,435 จุด
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (31 ก.ค.) คาดว่า SET วันศุกร์ขึ้นต่อ แต่หากช่วงบ่ายตัวเลขเศรษฐกิจเดือน มิ.ย.ออกมาแย่มากอาจพลิกมาลง ทั้งนี้แรงซื้อจากฝั่งในประเทศเริ่มชัดเจนขึ้นหลัง valuations หุ้นเริ่มคุ้มเสี่ยง ล่าสุดบลจ.กรุงไทยออกขายกองทุนทริกเกอร์แล้ว
ด้านปัจจัยภายนอก ผลประชุมเฟดเมื่อวันพุธชี้่ว่าน่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปี 58 ตามคาด
ขณะที่ GDP สหรัฐ ไตรมาส 2/58 ออกมาที่ 2.3% จากไตรมาสก่อน annl. ซึ่งต่ำกว่าคาดที่ 2.5% แต่ก็ชดเชยด้วยตัวเลขไตรมาส 1/58 ที่ถูกปรับขึ้นจาก -0.2% เป็น +0.6% ส่วนฝั่งยุโรปมีข่าวลบเล็กน้อยหลัง IMF ประกาศว่าไม่สามารถปล่อยเงินกู้รอบ 3 ให้กรีซได้ในช่วงนี้หลังกรีซมีประวัติไม่ดี (ซึ่งเรื่องนี้ต้องติดตามต่อไป) โดยสรุป KGI คงมุมมอง SET คุ้มเสี่ยงเข้าลงทุน แนะนำทยอยสะสมหุ้นโดยเน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/58 โดดเด่นกว่าอุตสาหกรรม
หุ้นเด่นวันนี้ตามปัจจัยพื้นฐาน แนะนำสะสม หุ้นพื้นฐานดี SCC-SAMART-BANPU
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (31 ก.ค.) คงน้ำหนักการลงทุนวันนี้เป็น “กลาง” ประเมินกรอบแกว่ง SET INDEX ระหว่าง 1,410-1,425 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางลง เพราะเป็นช่วงคาบเกี่ยววันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้ปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ หลัง เฟด คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่คงมุมมองต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้ช่วงสั้น ปัจจัยต่างประเทศเป็นกลาง
ขณะที่ รมว.คลัง เตรียมเสนอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น 6 มาตรการต่อครม.วันที่ 4 ส.ค. หากพิจารณาในกรอบมาตรการที่ออกมา แต่ให้น้ำหนักเป็นกลางเท่านั้น อาจยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน และภาคเอกชนได้มากนัก แต่ความเห็นของรมว.คลัง ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการประชุม กนง.วันที่ 5 ส.ค. ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ณ ปัจจุบัน ก็ไม่อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ สอดคล้องกับตลาดคาดการณ์ว่า กนง.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% ไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งจะช่วยให้แรงกดดันต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIMs) ของธนาคารขนาดใหญ่คลายตัวลง อาจทำให้หุ้นกลุ่มนี้เห็นการฟื้นตัวได้บ้าง หลังจากที่ปรับฐานลงเกือบตลอดสัปดาห์นี้
อีกทั้งผลการดำเนินงานของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อย่าง SCC-SCCC-DCC ต่างออกมาดีกว่าคาด เพราะได้ประโยชน์จากต้นทุนพลังงานที่ถูกลง อีกทั้งการควบคุมต้นทุนด้านอื่นๆ ที่เข้มงวด ทำให้เราเชื่อว่าแรงกดดันต่อการปรับประมาณการกำไรปี 2558-2559 ในรอบนี้เป็นไปอย่างจำกัด เว้นเสียแต่ว่ากลุ่มน้ำมันที่จะได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำอยู่ ณ ปัจจุบัน
ทั้งนี้ประเมินว่าปัจจัยที่จะกลับมาเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้ในภาวะเช่นนี้ ได้แก่ 1) ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวหรือแกว่งในกรอบแคบลง และ/หรือ 2) การปรับครม. โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมเศรษฐกิจ แม้ว่าปัญหาต่างๆ ที่สะสมมาเป็นเวลานาน ทำให้การทำงานของครม.ต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหา แต่ ณ ปัจจุบัน เศรษฐกิจภายในประเทศที่เดินหน้าในระดับต่ำเพียงเพราะขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ หากการปรับเปลี่ยน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนระยะกลาง ยังคงสามารถเลือกสะสมหุ้นในลักษณะ Bottom Fishing เน้นที่ประเด็นพื้นฐานการลงทุน หรือผลตอบแทนปันผลทั้งปีไม่ต่ำกว่า 4.0% เป็นเกณฑ์การเลือกหุ้นลงทุน ภายใต้ภาวะการลงทุนที่อ่อนแอในปัจจุบัน
Accumulative Buy: ADVANC-SCC
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (31 ก.ค.) ว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มมีแรงซื้อกลับมาในหุ้นกลุ่มพลังงาน, สื่อสาร หลังจาก SCC รายงานงบไตรมาส 2/58 มีกำไรสุทธิ 1.38 หมื่น ลบ. สูงกว่าคาดการณ์ และจ่ายเงินปันผล 7.5 บาท ส่วน PTT ในไตรมาส 2/58 คาดการณ์ทรงตัว-บวกเล็กน้อยจากไตรมาส 1/58
ประเด็นที่ต้องติดตามวันนี้ คือ รายงานภาวะเศรษฐกิจ มิ.ย.ของ ธปท.และสัปดาห์หน้าจะมีการประชุม กนง.ในวันที่ 5 ส.ค.ซึ่งหากไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก คาดว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะเริ่มฟื้นตัว แนะนำทยอยซื้อหุ้นกลุ่มหลัก เช่น KBANK-PTT-SCC-ADVANC-INTUCH และ ITD ที่ระดับดัชนี 1,400 ต้นๆ ส่วนแนวต้านที่ระดับ 1,430-1,440 จุด โดยเริ่มมีสัญญาบวกจาก Flows ของกองทุน Trigger Fund ที่จะเริ่มเปิดกองในช่วงต้นเดือนหน้านี้
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (31 ก.ค.) ว่า SET มีจังหวะ Technical Rebound ด้วยแนวต้าน 1,425 +/- จุด จาก 1) ผลการดำเนินงาน SCC ไตรมาส 2/58 ดีกว่าคาด (พื้นฐาน 600 บาท แนวต้าน 518/524 บาท) 2) ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 3) โอกาสในการปรับ ครม.พลิกความเชื่อมั่นกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทะลุ 35 บาท/ดอลลาร์ฯ หลัง Fed คงมุมมองขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ยังเป็นปัจจัยกระตุ้นให้กระแสเงินทุนไหลออกต่อไป
ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” SCC ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 600 บาท กำไรไตรมาส 2/58ดีกว่าคาดที่ 1.38 หมื่นล้านบาท คาดกำไรทำจุดสูงสุดใหม่ปีนี้ที่ 4 หมื่นล้านบาท มองเป้าหมายระยะสั้นทางเทคนิคที่ 524 บาท
ขณะที่ยังแนะนำ “เลือกซื้อ” กลุ่มหุ้น Yield Plays และรับเหมาฯ อย่าง INTUCH-ADVANC-TRUEIF-STEC-CK-SEAFCO-EA-PTTGC ต่อเนื่อง
บล.เอเซียพลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ระบุในบทวิเคราะห์ (31 ก.ค.) ว่ากลยุทธ์การลงทุนหากกำหนดสมมุติฐานที่ Conservative โดยให้ปรับลด EPS บริษัทจดทะเบียนลง 4% จากเดิม และกำหนดระดับ PER ที่ 15 เท่า จะให้แนวรับที่แข็งแกร่งของ SET Index ที่ราว 1,378 จุด แนะนำทยอยสะสมหุ้น High Dividend โดย HANA (FV@B 48) น่าสนใจ ในฐานะที่ได้เงินบาทที่อ่อนทะลุ 35 บาทเป็นแรงส่งอีกส่วนหนึ่งด้วย
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ (31 ก.ค.) ว่าคาดว่าตลาดยังมีโอกาสปรับขึ้น แต่เป็นไปอย่างจำกัด โดยคาดยังถูกกดดันจากปัจจัยในประเทศ จากการเติบโตเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เหลือของปี รวมถึงผลกระทบจากภัยแล้ง ซึ่งคาดหลายๆ หน่วยงานมีโอกาสปรับลดเป้าหมาย GDP ลงอีกครั้ง ล่าสุดสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลด GDP ปี58 จากเดิม 3.7% เป็น 3.0% และคาดส่งออกหดตัว 4.0% จากเดิมที่คาด ขยายตัว 0.2% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะจีน
อย่างไรก็ตามแนะติดตามการปรับ ครม. โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจที่คาดเป็น Sentiment บวกเข้ามาในตลาดได้บ้าง รวมถึงการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล โดยเน้นกลุ่มที่มีรายได้น้อย เพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ (C) นอกจากการลงทุนผ่านโครงการต่างๆ ของภาครัฐ (G)
ด้าน Fund Flow ยังมีแรงขายออกมาต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทยังคงมีทิศทางอ่อนค่า คาดเป็นปัจจัยเร่งให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจปรับพอร์ตเร็วขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันที่ลดลง คาดส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่อยู่ในช่วงของการประกาศผลการดำเนินงาน – กลางสค. คาดว่าอาจมีแรงเก็งกำไรเข้ามาบ้าง
ด้านประเด็นต่างประเทศ ยังคงให้น้ำหนักต่อประเด็นที่เฟดจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี) ภายในปีนี้ หลังประธานเฟดส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจน และคาดกดดันต่อตลาดฯ เพิ่มขึ้นหลังจากนี้ไป รวมถึงความกังวลต่อทิศทางการเติบโตเศรษฐกิจของจีน
ยังแนะติดตาม 1) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC-PTTGC และ BCP คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 จะออกมาโดดเด่น เรามองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัวสำหรับการลงทุนในระยะยาวกลาง – ยาว 2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดยังคงได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น ITD, CK, SEAFCO และ UNIQ 3) ค่าเงินบาท ล่าสุดมีทิศทางอ่อนค่า โดยเคลื่อนไหวบริเวณ 35.15 – 35.17 คาดส่งผลดีต่อกลุ่มส่งออก 4) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC และ TASCO, VNG เป็นต้น 5) กลุ่มท่องเที่ยวยังคงได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หุ้นที่ได้รับผลดี เช่น CENTEL
หุ้นแนะนำ: CENTEL