เคาะ 22 บจ.เด็ด เน้นหุ้นปันผล-ไม่สนศก.ชะลอตัวSET ฟื้นตัวสั้น ราคาน้ำมันโลกยังกดดันหุ้นพลังงาน
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสฟ้นตัวในระยะสั้น อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด โดยกลุ่มพลังงานยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามอาจได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มไอซีทีหลัง ADVANC รายงานงบไตรมาส 2/58 ออกมาดีเกินคาด การลงทุนเน้นหุ้นปันผลสูง และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวน้อย
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.13 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.09 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง เนื่องจากหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนตัว หลังราคาน้ำมันตลาดโลกร่วงลงจากการคาดการณ์ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) จะเพิ่มขึ้นอีกในเดือนก.ค.
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสฟ้นตัวในระยะสั้น อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด โดยกลุ่มพลังงานยังมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามอาจได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มไอซีทีหลัง ADVANC รายงานงบไตรมาส 2/58 ออกมาดีเกินคาด
การลงทุนเน้นหุ้นปันผลสูง และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวน้อย หุ้นเด่นเลือก BCP-BMCL-IFEC-WHA-ADVANC-INTUCH-TRUEIF-CK-STEC-SEAFCO-KBANK-BLA-EA-AAV-TIPCO-THCOM-BTS-HANA-EASTW-SCC-UWC และ BGT
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (4 ส.ค.) คงน้ำหนักการลงทุนวันนี้เป็น “กลาง” วันที่ 20 พร้อมประเมิน SET INDEX แกว่งแคบ 1,440 จุด +/- โดยกลุ่มพลังงานยังคงได้แรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับต่ำ แต่จะถูกชดเชยด้วยกลุ่ม ICT นำโดย ADVANC หลังรายงานกำไรสุทธิออกมาดีกว่าคาด 6.5% รวมถึงประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 6.50 บาท รวมถึงกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ จากแรงเก็งกำไรต่อการประชุมกนง.วันพรุ่งนี้ ตลาดคาดว่า กนง.จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจะทำให้แรงกดดันต่อ NIM ของธนาคารขนาดใหญ่คลายตัวลง
ทั้งนี้ปัจจัยที่จะผลักดันให้ SET INDEX ทะลุแนว 1,450 จุดขึ้นไปทดสอบกรอบ 1,480-1,500 จุดได้ในระยะถัดไป ให้น้ำหนักกับเงื่อนไข 1) ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจะออกมาใกล้เคียง หรือ ดีกว่าคาด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิตลาดหุ้นไทยในปีนี้และปีหน้าลง และ / หรือ 2) การเคลื่อนไหวค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสะท้อนถึงกระแสเงินทุนต่างชาติต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
โดยเชื่อว่า 35.50-36.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะสะท้อนความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย และความเสี่ยงที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เราประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะพลิกกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย อย่างน้อยต้นทุนทางการเงินที่ถูกลงจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า 6.25% จากช่วงต้นปี และผลตอบแทนจากเงินปันผลระหว่างกาลในหุ้นหลักราว 2% +/-
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6 ข้อจากรมว.คลัง ที่จะเสนอต่อครม.พิจารณาในวันนี้ เรากลับให้น้ำหนักเป็นกลางเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินสนับสนุนกับสหกรณ์ การเร่งปล่อยสินเชื่อผ่านนาโนไฟแนนซ์ หรือ เร่งการลงทุนผ่านโครงการลงทุนต่างๆ เป็นโครงการเดิมที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ แต่เรากลับให้น้ำหนักกับการหารือ 3 ฝ่ายระหว่าง ไทย-ญี่ปุ่น-พม่า ในโครงการทวาย วันพรุ่งนี้ หากสามารถตกลงและลงนามอย่างเป็นทางการของภาคเอกชน เพื่อนับหนึ่งเดินหน้าโครงการดังกล่าว ถือว่าเป็นบวกต่อการส่งสัญญาณเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านโลจิสติกส์ไทยที่จะไปเชื่อมต่อโครงการดังกล่าวในอนาคต
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ เราประเมินว่าปัจจัยที่จะกลับมาเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้ คือ 1) ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวหรือแกว่งในกรอบแคบลง และ/หรือ 2) การปรับครม. ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในช่วงปลายเดือนส.ค.ถึงเดือนก.ย. หลัง ครม.บริหารประเทศครบ 1 ปี หากการปรับเปลี่ยน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน ย่อมเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมเศรษฐกิจ
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “นักลงทุนที่สะสมหุ้นเป้าหมายบริเวณ 1,400-1,410 จุดอาจพิจารณาขายทำกำไรรอบสั้นไปบางส่วน บริเวณ 1,450 จุด +/- และถือพอร์ตหุ้นที่เหลือ เพื่อรอประเมินภาพรวมในระยะถัดไป เพื่อดูแรงฟื้นตัวของ SET INDEX ว่าจะทะลุผ่าน 1,500 จุดในรอบสั้นนี้ได้หรือไม่”
Top Pick in Q3/15: BCP/BMCL/IFEC/WHA
Accumulative Buy: ADVANC/BMCL
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (4 ส.ค.) ว่า SET ยังอยู่ในแนวโน้ม Rebound ต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมาย 1,456 หรือ 1,490 จุด ขณะที่แนะนำกลยุทธ์ “Selective” ต่อเนื่องใน 1) กลุ่มหุ้นปันผลสูง: “ซื้อ” ADVANC (กำไรดีตามคาด ปันผล 6.5 บาท/หุ้น หรือ Div Yield 2.6%) INTUCH (คาดปันผลกลางปี 2.42 บาท/หุ้น หรือ Div Yield 3%) และ TRUEIF (“ซื้อ” แนวรับ 12.4 บาท หลังขึ้น XD วันนี้ 0.2365 บาท)
2) กลุ่มหุ้นรับเหมาฯ: CK STEC และ SEAFCO 3) กลุ่มหุ้น Valuation ถูก: KBANK (PBV ปัจจุบันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 13%, PE’15 10 เท่า) BLA (กำไร Turnaround ด้วยการเติบโต 44-56% ในปี 2015-16 ขณะที่ PE ลดลงเร็วเหลือ 11.9เท่าปีหน้า) EA (กำไรเติบโต 89-95% ในปี 2015-16 ส่งผล PE ลดลงเหลือ 13.6 เท่าปีหน้า)
และ 4) กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลง “เก็งกำไร” AAV และ TIPCO (ได้ประโยชน์ผ่าน TASCO ราคาต่ำกว่า NAV ที่ 18.9 อยู่ 26%)
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (4 ส.ค.) เชื่อว่าแรงกดดันตลาดยังคงมีอยู่ และการที่ SET ฟื้นตัวระยะสั้นๆ น่าจะใกล้สิ้นสุด หากพิจารณา PER ตลาดที่ 15.6 เท่า ยังแนะนำให้ปรับพอร์ตโดยเลือกหุ้นที่กระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวน้อย ยังชื่นชอบ THCOM, BTS, HANA และ EASTW วันนี้เลือก SCC (FV@B580) เป็น Top pick เพราะคาดว่าผลกำไรยังโดดเด่นในงวดที่เหลือของปีนี้ จากธุรกิจปิโตรเคมี
บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (4 ส.ค.) ว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากหุ้นกลุ่มพลังงานลดลงจากทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน วันนี้ติดตาม การประชุม ครม. เพื่อเร่งรัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6 มาตรการ และการประชุม กนง. คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.5 %
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำเทรดดิ้งระยะสั้นตามกรอบ 1,430-1,450 จุด แนะนำซื้อ ADVANAC (FV@298) รายงานกำไรไตรมาส 2/58 9.84 พันล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อน/เพิ่มขึ้น 16.2% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ดีกว่าคาดการณ์ฝ่ายวิจัย 8.7%
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (4 ส.ค.) คาดการณ์มุมมองทางเทคนิค SET เมื่อวันก่อนดีดตัวขึ้นได้ทำให้ค่า MACD ลบลดลงอยู่ที่ที่ -15.28 (จากวันก่อนหน้าที่ -17.51 ) โดยเป็นการตัดสูงกว่า signal line ครั้งแรกนับจาก 20 ก.ค. 58 แสดงให้เห็นว่า การดีดตัวหรือการรีบาวด์ยังเกิดขึ้นอยู่เล็กน้อย
แต่ภาพตลาดจะยังไม่สามารถแสดงภาพแนวโน้มขึ้นที่ชัดเจนได้อาจมีทิศทางแกว่งตัวผันผวน สัญญาณขาลงยังไม่หมด (เนื่องจาก MACD ยังแสดงค่าลบ และ SET ยังเคลื่อนไหวใต้ MA25 การรีบาวด์อาจเริ่มสิ้นสุดลงหลังจากเข้าใกล้แนวต้านที่ 1,444-1,453 จุด
แนวโน้มของตลาดจะเคลื่อนไหวที่กรอบ 1,436-1,444 จุด
หุ้นที่เลือกวันนี้มีโอกาสปรับขึ้น แนะนำซื้อเก็งกำไร UWC และ BGT