8 หุ้น“สะเทินน้ำสะเทินบก”ไม่หวั่นเศรษฐกิจฝืดเคือง

สภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ คงไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่จะเหมาะแก่การลงทุนเท่ากับสุดยอดหุ้น Defensive Stock ที่มีการตั้งรับเหนียว บวกกับโชว์เสถียรภาพในการทำกำไรที่แข็งแกร่งในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย แถมยังคงมีความต้องการใช้สินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุนได้เป็นอย่างดี


สภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ คงไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่จะเหมาะแก่การลงทุนเท่ากับสุดยอดหุ้น Defensive Stock ที่มีการตั้งรับเหนียว บวกกับโชว์เสถียรภาพในการทำกำไรที่แข็งแกร่งในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย แถมยังคงมีความต้องการใช้สินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุนได้เป็นอย่างดี

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของเหล่านักวิเคราะห์สำนักต่างๆ  พบว่ามีบทวิเคราะห์ที่เหมาะกับการลงทุนในภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่กี่ฉบับ และหนึ่งในนั้นก็มีบทวิเคราะห์ที่ออกโดย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ซึ่งในเนื้อหาจะกล่าวถึง “หุ้นสะเทินน้ำสะเทินบก” ซึ่งเป็นบจ.ที่มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง แม้จะเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจซบเซา

เริ่มต้นที่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN จากสัดส่วนรายได้ที่มาจากค่าเช่าเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ และมีอัตราการปรับขึ้นค่าเช่าในแต่ละปีที่ชัดเจนจากสัญญาเช่า ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นสัญญาเช่าระยะยาว

ขณะที่บริษัทยังเดินหน้าเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องปีละ 3-4 แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 26 แห่ง และมีอัตราค่าเช่าที่สูงมากกว่า 95% ในทุกศูนย์การค้า ทำให้ที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจจะประสบภาวะกำลังซื้อชะลอตัว แต่บริษัทยังสามารถสร้างผลงานได้สม่ำเสมอ และมีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทุนที่ทำมาโดยตลอดทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดอย่างเพียงในการขยายสาขาใหม่ และมีสัดส่วนหนี้สินที่ก่อให้เกิดภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อทุนอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.35 เท่า ทำให้ CPN เป็น Defensive Stock ที่น่าสนใจไม่แพ้ใคร

ขณะที่ราคาหุ้น CPN  (7 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 45.25 บาท ปรับตัวลดลง 0.75 บาท หรือ 1.63% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 107.50 ล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ธรรมชาติของธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีความเสี่ยงต่ำยกเว้นภัยธรรมชาติ แต่ราคาหุ้น EA ปรับลงกว่า 20% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้ PE ลดลงจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ 32.5 เท่าเหลือ 25 เท่าปีนี้ อีกทั้งกำไรที่เติบโตรวดเร็วทำให้ PE สิ้นปี 59 ลดลงเหลือเพียง 17 เท่า

ขณะที่กำไรในไตรมาส 2 ปี 58 จะเติบโตต่อเนื่องจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าที่ลำปาง 90 MW เต็มไตรมาส ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมในปัจจุบันเป็น 188 MW เพิ่มจากสิ้นปีก่อนที่มี 98 MW และด้วยเทคโนโลยีแบบ Tracker ปรับหมุนตามแสงอาทิตย์ของโรงไฟฟ้าที่ลำปาง

ส่งผลให้ผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าโรงไฟฟ้าก่อนหน้านี้ถึง 25% จึงคาดกำไรสุทธิปี 58 โตก้าวกระโดด 102.3% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และโตต่อเนื่องอีก 43.9% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในปี 59 หลังโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 90 MW แห่งที่ 4 ที่จ.พิษณุโลกเริ่มเปิดดำเนินการปลายปีนี้

ขณะที่ราคาหุ้น EA (7ส.ค.) ปิดที่ระดับ 21.80 บาท ปรับตัวขึ้น 0.20 บาท หรือ 0.93% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 50.53 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC นับตั้งแต่เข้าตลาดราคาหุ้นปรับลงและต่ำกว่าราคา IPO ที่ 27 บาท สวนทางแนวโน้มกำไรที่มีทิศทางขาขึ้นตลอด 3 ปีข้างหน้าจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าที่ทยอยเปิดดำเนินการ

ทั้งนี้คาดกำไรในปี 58 เติบโต 25% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากโครงการ IRPCCP-I และปี 59 กำไรโตต่อเนื่องอีก 11% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากโรงไฟฟ้านวนคร (NNEG) กำไรปี 60 โตอีก 21.5% จากโครงการ IRPCCP –II, NL1PC และ BIC2 ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 1,851MW จากปัจจุบัน 1,315 MW และทำให้ PE ปี 60 ลดเหลือเพียง 14.7 เท่าและคาด Dividend yield 3% – 4% ต่อปี

ขณะที่ราคาหุ้น GPSC (7 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 2.42 บาท ปรับตัวขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.83% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย42.61ล้านบาท

 

อันดับ 4 บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เป็น Holding Company โดยมีลูกคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือTHCOM ซึ่งธุรกิจมีความ Defensive และทิศทางผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง

นอกจากนี้ INTUCH ยังจ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอโดยคาด Dividend Yield ปีนี้อยู่ที่ระดับ 6% โดยครึ่งปีแรกของปี 58 คาดว่าจะจ่าย 2.50 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 3% ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก โดย Discount จาก NAV กว่า 30% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ Discount ราว 20% ซึ่งมองว่าอย่างต่ำมูลค่าหุ้นปัจจุบันควรจะอยู่ที่ 96 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น INTUCH (7 ส.ค.) ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 24.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35.41 ล้านบาท

 

อันดับ 5 บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PLAT ซึ่งบริษัทมีฐานรายได้หลักกว่า 70% เป็นรายได้ค่าเช่าในโครงการเดอะแพลตินั่มแฟชั่นมอลล์ ซึ่งอัตราเช่าพื้นที่สูงถึง 99% ขณะที่อัตราค่าเช่ามีการปรับฐานอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 57 ปรับขึ้น 74.6% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และคาดว่าจะปรับอีกปีละ 5% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในปี 58-59 จึงทำให้บริษัทได้รับกระแสเงินสดที่มั่นคงและสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาดำเนินการที่ผ่านมา สำหรับ EPS Growth ในปีนี้ที่คาดลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน เพราะ Dilution จากการเพิ่มทุน IPO เมื่อต้นปี แต่กำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโต 15.1% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากการปรับขึ้นค่าเช่าและรายได้จากโรงแรมโนโวเทลแพลทินัมที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นหลังนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวไทย 

ขณะที่ราคาหุ้น PLAT (7 ส.ค.) ทรงตัวอยู่ระดับ 5.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.12 ล้านบาท

 

อันดับ 6 บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM จากธุรกิจดาวเทียมของ THCOM เป็นธุรกิจที่ Defensive และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ เนื่องจากความต้องการช่องสัญญาณยังอยู่ในระดับสูงทั้งจากจำนวนผู้ประกอบการช่องทีวีดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากความละเอียด SD เป็น HD รวมถึง 4K ซึ่งต้องใช้ Bandwidth มากขึ้น

ขณะที่ THCOM ผลการดำเนินงานของ THCOM ยังเป็นขาขึ้นแบบขั้นบันไดจาก Utilization Rate ของดาวเทียมไทยคม 7 ที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและคาดว่าจะเต็ม 100% ในช่วงปลายปีนี้ โดยคาดกำไรปกติปี 58 โต 21% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ขณะที่ไทยคม 8 ที่จะยิงขึ้นสู่วงโคจรในช่วงกลางปี 59 เป็น Upside ต่อประมาณการ

ขณะที่ราคาหุ้น THCOM (7 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 35 บาท ปรับตัวลง 0.50 บาท หรือ 1.41% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 91.37 ล้านบาท

 

อันดับ 7 บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE ที่กำไรสุทธิที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง เติบโต 152% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนในไตรมาส 1 ปี 58 จะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีหลังจาก TSR (TSE ถือ 60% อีก 40% ถือโดย GPSC) ผลิตไฟฟ้าได้เต็มที่ 80 MW (10 โรง) แล้วตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 58

ขณะที่ธุรกิจ Solar rooftop ของ TSE ติดตั้งบนหลังคาแล้ว 10 แห่งในไตรมาส 1 ปี 58 ส่วนที่เหลืออีก 4 แห่งติดตั้งในไตรมาส 2 ปี 58 และเริ่มจ่ายไฟฟ้าในเดือน ก.ค. เมื่อทั้ง 2 ธุรกิจดำเนินการครบแล้วจะทำให้กำไรปกติในปี 58 โตก้าวกระโดด 57.2% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน (แต่ EPS Growth ลดลง 32.8% จากการเพิ่มทุน IPO ในช่วงปลายปี 57) และเติบโตต่อเนื่อง 20% จากปีก่อนในปีหน้า

ทั้งนี้จากประสบการณ์ที่มีทำให้ TSE มีโอกาสได้รับการจัดใบอนุญาตรอบใหม่ในอนาคต ส่วนโครงการโซล่าร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น 30-40 MW สัญญา 20 ปีใกล้ได้ข้อสรุป และยังมีพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่บริษัทสนใจเช่นพลังงานขยะ เป็นต้น

ขณะที่ราคาหุ้น TSE (7 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 2.42 บาท ปรับตัวขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.83% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย42.61ล้านบาท

 

อันดับสุดท้าย บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW โดยธุรกิจของบริษัทมีความเสี่ยงต่ำเพราะมีสัญญาขายน้ำประปาโดยกำหนดปริมาณซื้อขายน้ำขั้นต่ำให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในจ.นครปฐมและจ.สมุทรสาคร เป็นเวลา 30 ปี (สิ้นสุด ก.ค. 2034) และบริษัทย่อยคือ PTW ได้รับสัมปทาน 25 ปี (สิ้นสุด ต.ค. 2566) ในการขายน้ำประปาให้กปภ.ในจ.ปทุมธานี ปัจจุบัน TTW มีกำลังการผลิตน้ำประปาสูงสุดที่ 440,000 ลบ.ม./วัน สูงสุดในบรรดาผู้ประกอบการน้ำประปาภาคเอกชนในประเทศ

สำหรับการเติบโตของกำไรในแต่ละปีไม่สูงนัก เฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และคาดว่ากำไรปี 59 จะลดลง 8.3% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน เพราะอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ที่ติดลบมาตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย. และมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตลอดทั้งปีจะทำให้ราคาขายน้ำประปาของ TTW และ PTW ในปีหน้าลดลง

ส่วนปัญหาภัยแล้งอาจกระทบต่อต้นทุนสารเคมีที่ต้องใช้มากขึ้นเพราะคุณภาพน้ำดิบที่ลดลงแต่เชื่อผลกระทบไม่มาก กระแสเงินสดที่ดีทำให้บริษัทจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ

ขณะที่ราคาหุ้น TTW (7ส.ค.) ปิดที่ระดับ 6.50 บาท ปรับตัวขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.78% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย7.98 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม มองว่าแม้ว่าหุ้น DefensiveStock จะมีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่หากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดี หุ้นที่กล่าวถึงข้างต้นก็อาจให้ผลตอบแทนคงที่ไม่เพิ่มขึ้น จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนหุ้นในระยะสั้น และรับผลตอบแทนเยอะ

อนึ่ง ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button