ปัจจัยลบใน-นอกปท.กดดัน SET ผันผวนเก็บหุ้นรับผลดีปรับ ครม. พีอีต่ำ ปันผลสูง
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ผันผวนรับปัจจัยลบใน-นอกประเทศ อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับ ครม.จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคและรับเหมาฯ การลงทุนยังเน้นหุ้น Defensive, พีอีต่ำ, ปันผลสูง และใช้จังหวะอ่อนตัวซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่มสื่อสาร, ธนาคาร, ท่องเที่ยว
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 8.53 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.49 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง หลังรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลก
นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ผันผวนรับปัจจัยลบใน-นอกประเทศ อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับ ครม.จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคและรับเหมาฯ การลงทุนยังเน้นหุ้น Defensive, พีอีต่ำ, ปันผลสูง และใช้จังหวะอ่อนตัวซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่มสื่อสาร, ธนาคาร, ท่องเที่ยว หุ้นเด่นเลือก ADVANC, EASTW, CK, STEC, SEAFCO, GLOBAL, CPALL, HMPRO, IRPC, PTTGC, TOP, BCP, TRC, UNIQ, SCC, TASCO, VNG, CPN, MINT, TRT-W2 และ LIVE
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ส.ค.) ว่า แม้ SET ฟื้นตัววานนี้ แต่ยังมอง “ผันผวน” กรอบ 1,350-1,390 จุด จาก 1) Downside Risk เศรษฐกิจหลังเหตุระเบิด 2) กระแสเงินทุนไหลออก และราคาน้ำมันปรับลดลงทำ New Low กระทบหุ้นใหญ่อย่าง PTT AOT 3) ตลาดหุ้นโลกถูกกดดันจากเศรษฐกิจจีน และการขึ้นดอกเบี้ย Fed (รายงานการประชุม Fed เมื่อคืน มีโอกาสที่ Fed ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.)
แม้ SET ยังดูผันผวน แต่การปรับ ครม.จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่ม Consumption Plays และรับเหมาฯ จากความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และการเร่งเปิดประมูลโครงสร้างพื้นฐาน อย่าง CK STEC SEAFCO GLOBAL CPALL HMPRO
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่กระทบจากเหตุระเบิดโดยตรง อย่าง AOT AAV CENTEL MINT ERW ยังแนะนำ “Wait & See” ไปก่อน
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ส.ค.) ว่า ทิศทางตลาด ตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งเคลื่อนไหวในแดนลบ หลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมล่าสุด แม้คาดการณ์ว่าเฟดอาจจะยังไม่พิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนกย. นี้ ตามที่คาดหมายก่อนหน้านี้ แต่คาดตลาดฯ กลับไปกังวลประเด็นแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจแทน โดยเฉพาะผลกระทบจากจีนที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ คาดยังถูกกดดันจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ราชประสงค์ ซึ่งคาดส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน และคาดยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น กลุ่มโรงแรม (CENTEL และ ERW เป็นต้น) และหุ้นกลุ่มสายการบิน (เช่น AAV, THAI, BA และ NOK) เป็นต้น ด้าน Fund Flow ต่างชาติยังคงขายสุทธิ ต่อเนื่องอีกกว่า 4,500 ล้านบาท และทำให้ตั้งแต่ต้นปีมูลค่าขายสุทธิ สูงเกือบ 64,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ระดับราคาน้ำมันที่ลดลงและอยู่ในระดับต่ำ คาดยังส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตามแนะติดตาม ครม.ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ที่คาดเป็น Sentiment บวกต่อตลาดได้บ้าง แต่คาดยังไม่สามารถชดเชยปัจจัยข้างต้นที่กดดันภาพรวมตลาด
และยังแนะติดตาม 1) หุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, PTTGC, TOP และ BCP หลังผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 ออกมาโดดเด่น มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นในช่วงที่ราคาอ่อนตัวสำหรับการลงทุนในระยะยาวกลาง-ยาว 2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดยังคงได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น TRC และ UNIQ 3) ค่าเงินบาท ภาพรวมยังมีทิศทางอ่อนค่า โดยเคลื่อนไหวบริเวณ 35.52-35.54 คาดส่งผลดีต่อกลุ่มส่งออก และ 4) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC และ TASCO, VNG เป็นต้น
หุ้นแนะนำ: SCC
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ส.ค.) ว่า SET โดนแรงกดดันจากทั้งน้ำมันและเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง จากความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ถึงแม้จะส่งผลดีต่อการลดทอนโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมก.ย. แต่การบ่งชี้ถึงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลก ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์
โดยเฉพาราคาน้ำมันดิบซึ่งเมื่อรวมกับการประกาศตัวเลขสต็อคน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเกินคาด จึงสร้างแรงกดดันต่อหุ้นพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และราคาน้ำมันดิบในตลาดต่างๆทั่วโลกยังคงปรับลดลงอีก 3-4% ท่ามกลางรายงานการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญและสำนักวิจัยต่างๆถึงโอกาสที่ราคาน้ำมันจะลดลงถึง 30 เหรียญฯ
ด้านปัจจัยสำคัญในประเทศมาจากการปรับครม.ใหม่ โดยมีการเปลี่ยนทีมงานด้านเศรษฐกิจ หลายตำแหน่ง นำทีมโดย รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นอกจากนี้หากพิจารณาความสัมพันธ์ของของรมว.หลายตำแหน่ง ค่อนข้างมีความเกี่ยวพันกับทางรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะผ่านทางสายสัมพันธ์ของสถาบันการศึกษาทั้งสถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ หรืออดีตข้าราชการประจำ ซึ่งครอบคลุมกระทรวงการคลัง พาณิชย์ อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้การผลักดันยุทธ์ศาสตร์ด้านเศรษฐกิจน่าจะดำเนินการได้อย่างมีเอกภา
และหากผลงานในอดีตในช่วงรัฐบาลที่รับผิดชอบภาพรวมเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลทักษิณ ผ่านทั้งยุทธศาสตร์ระยะสั้น (กระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ) และระยะยาว (ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน) ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจ และคาดจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นตามมาในอนาคตอันใกล้
กลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ ได้แก่ การบริโภคในประเทศ (ค้าปลีก) อสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งไอซีที จากการประมูล 4G ที่น่าจะถูกเร่งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน กลยุทธ์การลงทุน “เพียงเก็งกำไรคั่นเวลา หรือรอซื้อในแนวรับสำคัญ”
การปรับตัวลง 1,340-1,360 เป็นจุด เสี่ยงเสี่ยงซื้อที่สำคัญเรามองนักลงทุนสามารถทยอยสะสมหุ้นปลอดภัยที่ให้ปันผลสูง และใช้จังหวะอ่อนตัวซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่ม สื่อสาร ธนาคาร ท่องเที่ยว ได้แก่ ADVANC DTAC TRUE KTB BBL TISCO TCAP MINT AOT CPN โดยหุ้นมี top pick คือ IRPC CPN MINT โดยเฉพาะหาก SET ลงทดสอบใกล้ 1,350+/-
หุ้นแนะนำ: ทยอยสะสม EASTW (ปริมาณขายน้ำเติบโต ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะแล้ง ขณะที่เตรียมนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดช่วงปลายปี), ทยอยสะสม ADVANC (กสทช.พิจารณาร่างการประมูล 4G และเข้าใกล้กำหนดการประมูลในราชกิจจานุเบกษา 26 ส.ค.นี้)
หุ้นใหญ่น่าสนใจเชิงกลยุทธ์: IRPC, CPN, MINT/DTAC, TRUE/KTB, BBL
หุ้นเล็กเก็งกำไรเชิงกลยุทธ์: TPIPL (ตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5%)
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ส.ค.) EPS ตลาด ล่าสุดปีนี้คือ 89.8 บาท สะท้อนการตัดลดกำไรรายกลุ่มที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2/58 และปรับลดสมมติฐานน้ำมันลงอีก 5 เหรียญฯ ได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2558 ที่ 1,392 จุด มี upsideจำกัด ยังเน้นกลยุทธ์เลือกหุ้น Defensive + P/E ต่ำ + ปันผลสูง คือ ADVANC (FV@B285) และ EASTW (FV@B14) เป็น Top picks
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ส.ค.) คาดการณ์มุมมองทางเทคนิคSET เมื่อวันก่อนแกว่งตัวแคบด้วยแรงกดดันของแนวต้านใหม่ที่ 1,384 และ MA10 ขณะที่ MACD อยู่ที่ -17.91 ซึ่งลบมากขึ้นแสดงให้เห็นว่าภาพตลาดจะยังไม่สามารถแสดงภาพแนวโน้มขึ้นที่ชัดเจนได้ รูปของ candlestick เมื่อวันก่อนแสดงรูปการอ่อนลงและจะแกว่งตัว โดยโอกาสการดีดตัวไม่น่าจะเกิน 1,384 และการดีดตัวอาจเริ่มหมดรอบ สัญญาณทางเทคนิคแสดงภาพขาลง
แนวโน้มของตลาดจะเคลื่อนไหวที่กรอบ 1,360-1,384
หุ้นที่เลือกวันนี้มีโอกาสปรับขึ้น แนะนำซื้อเก็งกำไรที่กรอบแนวรับ-แนวต้าน
หุ้นที่น่าสนใจ TRT-W2 และ LIVE