แนะ 14 หุ้นเด็ด! ก่อนดัชนีขึ้น 1,400 จุดSET บ่ายผันผวน ช่วงรอผลประชุมเฟด
SET ช่วงเช้าปรับขึ้นตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานภายหลังจากที่สต็อคน้ำมันของสหรัฐออกมาต่ำกว่าคาด และเก็งเฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยงวดนี้ บ่ายคาดตลาดคงผันผวน แต่หากยุโรปเปิดดีอาจส่งผลดีต่อตลาดบ้านเรา โดยมีแนวรับ 1,380 แนวต้าน 1,400 จุด
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน ตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ช่วงเช้า (17 ก.ย.) ปรับตัวขึ้นตามตลาดภูมิภาคบวกตามตลาดสหรัฐได้รับแรงหนุนจากกลุ่มพลังงานหลังสต็อคน้ำมันต่ำกว่าคาด และเก็งเฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยงวดนี้ แม้นักเศรษฐศาสตร์จะให้น้ำหนัก 50:50 ก็ตาม ดังนั้นจึงต้องจับตาคืนนี้
นักวิเคราะห์คาดช่วงบ่าย ตลาดคงผันผวน แต่หากยุโรปเปิดดีอาจทำให้ตลาดบ้านเราดีตามไปด้วย โดยมีแนวรับ 1,380 แนวต้าน 1,400 จุด ขณะที่ แนะนำ “ซื้อ” QH-PS-SIRI-STEC-CK-AMATA-TMB-KTC-PTTGC-BCP-TOP-IRPC-AOT และ CENTEL ด้วยเป้าหมาย SET ระยะสั้นที่ 1,400-1,408 จุด เป็นเป้าหมายแรก และถัดไป 1,420-1,440 จุด
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค ตามตลาดสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานภายหลังจากที่สต็อคน้ำมันของสหรัฐออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้
ทั้งนี้ ตลาดฯเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีโอกาสที่จะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในงวดนี้ ทั้งที่นักเศรษฐศาสตร์ให้น้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐเป็น 50:50 โดยกลุ่มที่คาดว่าสหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐมีความพร้อมแล้ว แต่หากเฟดไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะทำให้มี Flow ไหลกลับเข้ามาที่ Emerging Market ได้ อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาผลการประชุมคืนนี้
แนวโน้มการลงทุนบ่ายนี้ คาดตลาดผันผวนเนื่องจากคาดการณ์เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ แต่หากบ่ายนี้ตลาดในยุโรปเปิดเทรดมาดี ตลาดบ้านเราอาจได้รับแรงหนุนไปด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,380 จุด ส่วนแนวต้าน 1,400 จุด
บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ก.ย.) คาดว่า Fed จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมคืนนี้ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้การไหลออกของกระแสเงินทุนชะลอตัวลง นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทยในระดับต่ำกว่าปี 2008 ไปแล้ว
ขณะที่ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัว โดยเฉพาะราคาน้ำมัน เป็นปัจจัยหนุนกลุ่มพลังงาน ซึ่งเราชอบกลุ่มโรงกลั่นที่ได้รับผลดีจากค่าการกลั่น (Gross Refining Margin) สูง อย่าง PTTGC-BCP และ TOP
สำหรับต้นทุนทางการเงินทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำต่อไป เอื้อกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยแนะนำ “ซื้อ” หุ้น 3 กลุ่ม ด้วยเป้าหมาย SET ระยะสั้นที่ 1,400-1,408 จุด เป็นเป้าหมายแรก และถัดไป 1,420-1,440 จุด
1. กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม: กลุ่มบ้านและที่ดิน กลุ่มรับเหมาฯ กลุ่มนิคมฯ และการบริโภคฟื้นตัว อย่าง: QH-PS (ยืนเหนือ 200 วัน มีเป้าหมายที่ 28.75/30.5 บาท) SIRI-STEC-CK-AMATA และ TMB (ทำรูปแบบ Inverse H&S เป้าหมายระยะสัปดาห์ 2.8-2.9 บาท) KTC
2. กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์: PTTGC (ค่าการกลั่น และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรฯ สูงต่อเนื่อง) BCP-TOP และ IRPC
3. กลุ่มท่องเที่ยว : AOT (จำนวนนักลงทุนเติบโตดีต่อเนื่อง ขณะที่ราคาหุ้นตอบรับกับปัจจัยลบเหตุระเบิดไปแล้ว เป้าหมายระยะสั้น 284-285 บาท) CENTEL (ธุรกิจโรงแรม และอาหารกลับมาขยายตัวดีพร้อมๆ กัน ขณะที่ราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 3 เดือน เป้าหมายระยะสั้น 38/39.25 บาท)
สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า
PTT มูลค่าการซื้อขาย 819.03 ล้านบาท ปิดที่ 256.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 554.99 ล้านบาท ปิดที่ 145.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 548.34 ล้านบาท ปิดที่ 73.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 522.38 ล้านบาท ปิดที่ 235.00 บาท ลดลง 1.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 513.13 ล้านบาท ปิดที่ 181.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์