สะสม 15 หุ้นร้อน! ช่วงดัชนีย่อตัวSET ไร้ปัจจัยหนุน คาดบ่ายลงต่อ

SET เช้านี้ปรับลงตามตลาดหุ้นเอเชียจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและราคาน้ำมันปรับตัวลง ส่วนปัจจัยในประเทศเจอแรงกดดันจากกรณีหนี้ของ SSI ที่ส่งผลกระทบให้แบงก์ บ่ายนี้มีโอกาสย่อตัวลงต่อจากช่วงเช้า เหตุไร้ปัจจัยใหม่และไม่มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลักเข้ามาหนุน พร้อมให้แนวต้าน 1,390 จุด แนวรับ 1,380 จุด


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน ตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ช่วงเช้า (21 ก.ย.) ปรับลงตามตลาดต่างประเทศ เนื่องจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและราคาน้ำมันปรับตัวลง ส่วนปัจจัยในประเทศเจอแรงกดดันจากกรณีหนี้ของ SSI ที่ส่งผลกระทบให้แบงก์ที่ปล่อยกู้ต้องตั้งสำรองพิเศษเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับลงช่วงเช้าที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์คาดช่วงบ่าย บ่ายนี้มีโอกาสย่อตัวลงต่อจากช่วงเช้า เหตุไร้ปัจจัยใหม่และไม่มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลักเข้ามาหนุน พร้อมให้แนวต้าน 1,390 จุด แนวรับ 1,380 จุด ขณะที่ แนะนำ AMATA-ROJNA-QH-PS-SIRI-STEC-CK-AMATA-TMB-KTC-PTTGC-BCP-AOTCENTEL และ TPIPL

 

นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอีก ซึ่งความกังวลใน 2 ปัจจัยหลักดังกล่าวนั้นส่งผลกดดันตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

ส่วนปัจจัยในประเทศที่กดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าวันนี้ คือ การปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ในการลงทุนเข้าซื้อโรงถลุงเหล็กในประเทศอังกฤษ และสินเชื่อที่ปล่อยให้ไปนั้นกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หลังจาก SSI เผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนัก และมีแนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้

ทั้งนี้ ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อให้จะต้องตั้งสำรองพิเศษหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน ทำให้เช้านี้หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย (KTB) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ซึ่งเป็นแบงก์หลักที่ปล่อยสินเชื่อให้ SSI ส่งผลกดดันตลาดหุ้นไทยอีกด้วย

แนวโน้มการลงทุนบ่ายนี้ คาดดัชนีมีโอกาสย่อตัวลงต่อจากช่วงเช้า โดยปัจจัยกดดันยังคงเป็นปัจจัยเช่นเดียวกับช่วงเช้า ประกอบกับไม่เห็นแนวโน้มของการเข้าซื้อในหุ้นกลุ่มหลักที่จะเข้ามาช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ดีดกลับมา โดยมีแนวต้าน 1,390 จุด ส่วนแนวรับ 1,380 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ย.) ว่า แม้ตลาดหุ้นโลก “ผันผวน” จากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก หลัง Fed มีมติคงดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ดีมอง Downside Risk SET จำกัดที่ 1,380 +/- จุด และการปรับลดลงมาที่แนวรับดังกล่าวจะเป็นโอกาส “ซื้อ” เพิ่ม โดยคาดหวังการปรับสูงขึ้นระยะสัปดาห์ไปที่ 1,408 จุด เป็นเป้าหมายแรก (Gap ทางเทคนิค) และเป้าหมายถัดไปที่ 1,420-1,440 จุด

โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) กระแสเงินทุนไหลกลับ/ชะลอการไหลออก มองค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นหลัง Fed มีมติคงดอกเบี้ย และสัดส่วนถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าก่อนใช้ QE แล้ว 2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล และ 3) ราคาน้ำมันและทองคำฟื้นตัว สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าลง

ขณะที่ แนะนำ “ซื้อ” กลุ่มหุ้น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

1. กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม: กลุ่มบ้านและที่ดิน กลุ่มรับเหมาฯ กลุ่มนิคมฯ และการบริโภคฟื้นตัว อย่าง: AMATA-ROJNA-QH-PS-SIRI-STEC-CK-AMATA-TMB และ KTC

2. กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์: PTTGC (ค่าการกลั่น และราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรฯ สูง) BCP

3. กลุ่มท่องเที่ยว ที่กำลังเข้าสู่ช่วง High Season ผลกระทบจากเหตุระเบิดจำกัด: AOT-CENTEL (ราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 3 เดือน มีเป้าหมายการปรับสูงขึ้นไปที่ 38/39.5 บาท)

นอกจากนี้ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ “ซื้อ” Block Trade TPIPL หรือ Derivative Warrant สัญญา TPIP16C1604A ที่ให้ Leverage ในการลงทุนระยะสั้น (ดูเพิ่มเติมใน Derivative Story วันนี้) โดยมองเป้าหมายการปรับสูงขึ้นของ TPIPL ไปที่ 2.8 หรือ 2.86 บาท

 

สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า

KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,128.05 ล้านบาท ปิดที่ 17.90 บาท ลดลง 0.30 บาท

CPF มูลค่าการซื้อขาย 697.35 ล้านบาท ปิดที่ 22.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท

SCB มูลค่าการซื้อขาย 688.61 ล้านบาท ปิดที่ 141.50 บาท ลดลง 2.50 บาท

JAS มูลค่าการซื้อขาย 475.93 ล้านบาท ปิดที่ 5.80 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

ITD มูลค่าการซื้อขาย 423.33 ล้านบาท ปิดที่ 8.35 บาท ลดลง 0.10 บาท

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button