ตลาดหุ้นไทยอยู่ในกำมือต่างชาติงั้นหรือ??

แรงขายจากความตื่นตระหนกของคนเวลาถูกบอกว่า “ต่างชาติออกแล้วๆ” นั้นมีดีกรีรุนแรงกว่า แรงซื้อจากความอยากได้อยากมีของคนเวลาถูกบอกว่า “ต่างชาติมาแล้วๆ” นะจะบอกให้


–ตามกระแสโลก–

 

“เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ 1 วัน เนื่องในโอกาส วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม เวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง

ซึ่งเป็นวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อพสกนิกร

พระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า สมเด็จพระปิยมหาราช คือ การประกาศเลิกทาส

ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค เปิดทำการปกติ และดูเหมือนจะซึมซับรับข่าวดีจากการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB เป็นอย่างดี

นาย มาริโอ ดรากี ประธาน ECB ยังคงแสดงจุดยืนเดิมที่หนักแน่น ที่จะทำ QE ต่อไปที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน

อีกทั้ง ไม่แน่ว่าอาจมีการตัดสินใจขยายช่วงระยะเวลาออกไปอีก จากเดิมกำหนดไว้ถึงเดือนกันยายนปีหน้า 2559

โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ กระตุ้นการขยายตัวของยูโรโซน ซึ่งจะเป็นตัวช่วยหนุนให้ระดับเงินเฟ้อสามารถขยับเข้าใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% ได้มากขึ้น

งานนี้เรียกได้ว่า ECB เอาใจตลาดหุ้นเอเชียไปเต็มๆ เพราะพากันแฮปปี้ฮาเฮ เขียวขจีกันถ้วนหน้ากระดานเลยทีเดียว

การติดตามเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของฝั่งยูโรโซนครานี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับกรณีการเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯคราก่อน

เพราะหลายคน ยังให้ความสำคัญต่อการไหลเข้า-ออก ของ “ฟันด์โฟลว์” ที่จะมีผลต่อความเป็นไปของตลาดทุน โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย

ซึ่งในข้อเท็จจริงก็ยอมรับนะว่า มันก็มีความสำคัญ ณ ขณะนี้ จริงๆนั่นแหละ

เพียงแต่มันต้องมีซักหนทางซิ ที่ตลาดเกิดใหม่อย่างเราจะลดบทบาทของต่างชาติให้มาชี้เป็นชี้ตายเฉกเช่นทุกวันนี้ได้

ยกตัวอย่าง ตลาดหุ้นไทย ถ้าย้อนไปดูอดีต ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่ผ่านมา เม็ดเงินต่างชาติก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ตลาดคึกคักขึ้นมาได้หลายครั้งหลายคราด้วยกัน

แต่สำคัญว่า เวลาเม็ดเงินพวกนี้จะไหลกลับบ้านเกิดของมันนี่ซิ ตลาดหุ้นไทยก็โดนปู้ยีปู้ยำเอาเละเทะเหมือนกันนะ

แล้วลองคิดดูว่า มันคุ้มกันหรือเปล่า เพราะเวลาขาลง มันมักจะลงมากกว่าที่เคยขึ้นไป ซึ่งก็เป็นอะไรที่เราได้เห็นกันมาตลอด

แรงขายจากความตื่นตระหนกของคนเวลาถูกบอกว่า “ต่างชาติออกแล้วๆ” นั้นมีดีกรีรุนแรงกว่า แรงซื้อจากความอยากได้อยากมีของคนเวลาถูกบอกว่า “ต่างชาติมาแล้วๆ” นะจะบอกให้

ดังนั้น นี่จึงเป็นที่มาของความต้องการที่ว่า อยากเห็นพัฒนาการทางความคิดดีๆเกิดขึ้นกับตลาดบ้านเรา เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับเรื่องทุนต่างชาติ มากจนเกินไป

ซึ่งวิธีการที่พอจะคิดออกตอนนี้ ก็คือ การหันมาเร่งสร้างกำลังการลงทุนในประเทศให้มีเพิ่มมากขึ้น เพราะโดยข้อเท็จจริง มันคือปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญและยั่งยืนที่สุดของตลาดหุ้น

ปัจจุบัน จำนวนคนเปิดบัญชีซื้อ-ขายหุ้นในบ้านเรา มีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีศักยภาพจะสามารถลงทุนได้

เพราะฉะนั้น การผลักดันให้ผู้คนหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น จึงเป็นเรื่องน่าคิดใช่หรือไม่??

พวกฝรั่งมังค่า ขายหุ้นไทยทิ้งตอนดัชนีอยู่ 1,500 จุด ใช้แค่ 33 บาท เพื่อแลกเอา 1 ดอลลาร์กลับบ้าน

ล่าสุด หอบเงินกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้งตอนดัชนีอยู่ 1,300 จุด ใช้แค่ 1 ดอลลาร์ แลกได้ตั้ง 35 บาท

คิดแล้วน่าแค้นใจไหมละ??

Back to top button