กูรูแนะ 10 หุ้นหลบภัย! กำไรเด่น-ปันผลดีSET บ่ายยืนแดนลบให้แนวรับ 1,370 จุด

SET เช้านี้ปรับลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในฝรั่งเศส แต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไม่มาก คาดรับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุน LTF, RMF ในช่วงปลายปี และเชื่อต่างชาติคงขายไม่มากเพราะน่าจะมีหุ้นไทยเหลืออยู่น้อย บ่ายนี้ตลาดฯคงยัง Negative อยู่ โดยมีแนวรับ 1,360-1,370 แนวต้าน 1,385 จุด


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน ตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ช่วงเช้า (16 พ.ย.) ปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ หลังเหตุการณ์ก่อการร้ายในฝรั่งเศส แต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น คาดมีแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุน LTF, RMF ในช่วงปลายปี และเชื่อต่างชาติคงขายไม่มากเพราะน่าจะมีหุ้นไทยเหลืออยู่น้อย ดังนั้น Downside จึงมีจำกัด

นักวิเคราะห์คาดช่วงบ่าย ตลาดฯคงยังเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบต่อ พร้อมให้แนวรับ 1,360-1,370 แนวต้าน 1,385 จุด ขณะที่ แนะนำเลือกหุ้นในกลุ่มกำไรไตรมาส 3 ปี 2558 ออกมาดี : SAWAD, MINTBEAUTY, KCE และ EPG รวมไปถึง CPF ที่มีสัญญาณฟื้นตัวโดยเฉพาะในธุรกิจกุ้งที่มีอัตรากำไรดีขึ้น รวมถึงหุ้นที่มี Valuation ต่ำ แต่ปันผลน่าสนใจ และราคา Laggard TISCO, TOP และกลุ่มรับเหมา E-Auction คลอง19-แก่งคอย CK, STEC

 

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้เป็นภาพ Negative ตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวลงกันทั่วหน้า ภายหลังจากที่มีเหตุการณ์ก่อการร้ายในฝรั่งเศส แต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น โดยตลาดหุ้นไทยเผชิญแค่ Sentiment ลบจากนอกประเทศเท่านั้น แต่ถ้าเหตุการณ์ยืดยาวต้องจับตาดูผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบในแง่ของการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปีตลาดยังได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF),กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ขณะที่เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติคงจะขายไม่มากเพราะต่างชาติน่าจะมีหุ้นไทยเหลืออยู่น้อย ดังนั้นจึงมองว่า Downside ของตลาดน่าจะมีจำกัด

แนวโน้มการลงทุนบ่ายนี้ คาดตลาดหุ้นไทยคงยังเป็น Negative อยู่ พร้อมให้แนวรับ 1,360-1,370 จุด ส่วนแนวต้าน 1,385 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (16 พ.ย.) ว่า การปรับลดลงของตลาดหุ้นโลก ไม่ว่าจะเป็น 1) โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ย Fed ในเดือน ธ.ค.นี้ 2) เหตุก่อการร้ายในปารีสในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (แต่มีโอกาสที่ ECB จะเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ) และ 3) มาตรการลดความร้อนแรงตลาดหุ้นจีน โดยการลดวงเงิน Margin ลงจากเดิม 50% กดดัน SET ทดสอบแนวรับ 200 วันที่ 1,367 จุด ในช่วงเช้า ซึ่งแนวรับดังกล่าวยังทำงานได้ดี ขณะที่กลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้แนะนำ “Selective” ในกลุ่มหุ้น:-

1. กำไรไตรมาส 3 ปี 2558 ออกมาดี : SAWAD, MINT (แนวต้าน 34.25 บาท), BEAUTY, KCE และ EPG รวมไปถึง CPF ที่มีสัญญาณฟื้นตัวโดยเฉพาะในธุรกิจกุ้งที่มีอัตรากำไรดีขึ้น (เป้าหมายพื้นฐาน 29.0 บาท ขณะที่ทางเทคนิคแนวต้านแรก 21.3 บาท และถัดไปที่ 22.0 บาท)

2. Valuation ต่ำ ปันผลน่าสนใจ และราคา Laggard: TISCO-TOP

3. กลุ่มรับเหมาฯ E-Auction คลอง19-แก่งคอย 19  พ.ย.นี้: CK-STEC

ขณะที่ ตัวเลข GDP ในไตรมาส 3 ปี 58 ของไทยขยายตัว 2.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐฯเพิ่มขึ้น 16.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 17.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งที่มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพียง 1.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนหดตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันลดลง 6.7% จากช่วงเดียวกันก่อนก่อน

 

บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ (16 พ.ย.) SET ช่วงเช้าปิดลบตามตลาดภูมิภาค เนื่องจากเจอแรงกดดันจากเกิดเหตุก่อการร้ายที่ฝรั่งเศสเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ หดตัวลง 0.8%เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ

สำหรับปัจจัยในประเทศ สภาพัฒน์แถลงภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 3/58 ขยายตัว 2.9% สูงขึ้นเล็กน้อยจาก 2.8% ในไตรมาสที่แล้ว ภาคนอกเกษตรขยายตัว 3.4% โดยอุตสาหกรรมการผลิตเริ่มมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่การบริการขยายตัวได้ต่อเนื่อง เช่น สาขาโรงแรมและภัตตาคาร การขนส่งและโทรคมนาคม และการค้าส่งและค้าปลีก เป็นต้น

ขระที่ ภาคเกษตรผลผลิตยังคงหดตัวตามปริมาณพืชผลสำคัญที่ลดลง และคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 58 จะขยายตัวได้ราว 2.9%จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.7 -3.2% และในปี 59 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 3.0-4.0% ปัจจัยเสี่ยงปี 59 คือศก.จีนชะลอ,ค่าเงินคู่ค้า-คู่แข่งอ่อนค่า,ภัยแล้ง และคาดปี 59 บาทอ่อนค่าที่ 36-37 บาท/ดอลลาร์

แนวโน้มภาคบ่ายเชิงเทคนิค ในช่วงระยะสั้นยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัวในแท่งเทียนราย 10 นาที สำหรับภาคบ่าย คาดดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงทดสอบ 1,370 อีกครั้ง

 

สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า

JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,657.92 ล้านบาท ปิดที่ 5.20 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,195.14 ล้านบาท ปิดที่ 213.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 989.98 ล้านบาท ปิดที่ 9.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 901.51 ล้านบาท ปิดที่ 270.00 บาท ลดลง 6.00 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 840.65 ล้านบาท ปิดที่ 172.50 บาท ลดลง 2.50 บาท

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button