ช้อน 17 หุ้นเด็ด เน้นซื้อเมื่ออ่อนตัวคาดเม็ดเงิน LTF ดัน SET ดีดกลับ

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.25 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.82 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มวัสดุที่ปรับตัวขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนกำลังจับตาดูจีนเผยผลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.เช้านี้

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสดีดตัวกลับหลังลงมาต่อเนื่องเกือบ 35 จุด แต่มองว่า Upside ค่อนข้างจำกัดเนื่องจากยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินจาก LTF เข้ามาช่วยพยุงตลาดได้บ้างแต่คงไม่มาก กลยุทธ์วันนี้ Buy on Weakness

หุ้นเด่นเลือก ASEFA-TSR-EGCO-KBANK-BBL-MTLS-SAWAD-AOT-CI-SAWAD-GUNKUL-AOT-CK-STEC-EPG-CI และPREB

 

บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (27 พ.ย.) ว่าสำหรับประเด็นที่คาดกันว่าจะยังกดตลาดตอนนี้ ยังคงเป็นเรื่องความตึงเครียดระหว่างตุรกีกับรัสเชีย หรือเกิดเหตุก่อการร้ายในประเทศ ส่วนประเด็นในเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ คาดกันว่าจะค่อยๆ คลายตัวลง หลังมีสัญญาณในเชิงบวกอย่างแนวโน้มที่ทางธนาคารกลางใหญ่อย่าง ยุโรป จีน หรือญี่ปุ่น อาจขยายวงเงินการทำ QE หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลยุทธ์การลงทุน เมื่อดัชนีลงกลับมาเทรดที่บริเวณกรอบ 1370+/-5 โดยอยู่ที่ 1365 จุด

ทั้งนี้แนะนำ ซื้อหุ้นเพิ่ม เนื่องจากมองว่าประเด็นที่ทำให้ตลาดลงเป็นประเด็นที่อยู่นอกความคาดหมาย ไม่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและคาดเป็นแคช่วงสั้น โดยหุ้นในกลุ่มที่ลงมากที่สุดในสัปดาห์นี้ คือกลุ่มสื่อสาร ปิโตรเคมีและสินเชื่อขนาดเล็ก

โดยในวันนี้มองดัชนี SET จะดีดตัวกลับหลังลงมาต่อเนื่องเกือบ 35 จุด หลังประเมินเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในประเทศ จะไม่ส่งผลอะไรมาก ส่วนแรงขายหุ้นสื่อสาร น่าจะพียงพอจากการที่ราคาหุ้นแต่ละตัวลงไปในระดับ 7-11% โดยวันนี้มองดัชนีเปิดขึ้นมาอาจถูกกดลงแต่หลังจากนั้นจะขึ้นและยืน โดยแนวรับอยู่ที่ 1,360-1,356 ส่วนแนวต้านที่ 1,374-1,378 จุด

 

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (27 พ.ย.) SET วันศุกร์รีบาวด์ก่อนผันผวนต่อ โดยปัจจัยภายนอกเป็นกลางหลังหุ้นสหรัฐปิดวันขอบคุณพระเจ้า หุ้นยุโรปขยับขึ้นต่อด้วยแรงเก็งกำไรก่อน ECB ประชุมวันที่ 3 ธ.ค.

ทั้งนี้ SET วานนี้หลุดกรอบ 1370-1420 ที่มองไว้ แต่มองทางลงใกล้จบแล้ว หลังแรงขายหุ้นสื่อสารออกมามากแล้ว อีกทั้งความกังวลเกี่ยวกับ MSCI ปรับหุ้นไทยจะจบภายใน 30 พ.ย. ซึ่งเริ่มมีผลการปรับน้ำหนัก นอกจากนี้คาด

แรงซื้อจากฝั่งสถาบันกลับเข้า SET ในเดือนธ.ค.ตามเม็ดเงิน LTF ขณะที่ SET ลงมาเทรด PE59 ที่ 13.3 เท่า ถือว่าน่าสนใจในภาพยาว คงแนะนำทยอยสะสมหุ้น และมอง SET มีโอกาสฟื้นในเดือนธ.ค.

หุ้นเด่นวันนี้ตามปัจจัยพื้นฐาน เก็งกำไร ASEFA,TSR

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (27 พ.ย.) ว่า SET อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังลุ้นกลับมายืนได้เหนือ 1,367 จุด วันนี้ แนะนำ “เก็งกำไร” หุ้นที่กำไรออกมาดีในไตรมาส 3/58และราคาหุ้นปรับลดลงมาที่แนวรับสำคัญแล้ว อย่าง SAWAD (แนวรับ 45.50)MTLS (แนวรับ 20 ) รวมถึงกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่มอง Sector Rotation จากกลุ่มสื่อสารมาที่กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ KBANK-BBL และ Defensive Plays ที่ Momentum ดี EGCO

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (27 พ.ย.) ว่าแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ลุ้นรีบาวด์ในช่วงสั้นหลัง SET ปรับลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 จนแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 เดือน และหวังว่าจะมีเม็ดเงินจาก LTF เข้ามาช่วยพยุงตลาดได้บ้างแต่คงไม่มาก

อย่างไรก็ตามอาจจะยังมีโมเมนตัมการขายในหุ้นกลุ่มสื่อสารบ้างแต่อัตราการลงน่าจะจำกัด ที่สำคัญภาวะตลาดหุ้นโดยรวมก็ขาดปัจจัยชี้นำวันนี้ และนักลงทุนส่วนใหญ่จะระมัดระวังการลงทุนในวันนี้เพื่อรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆที่จะประกาศในสัปดาห์หน้า รวมถึงความคาดหวังว่า ECB จะขยายวงเงินซื้อพันธบัตร (QE) เพิ่มและอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากอีกเล็กน้อยในการประชุมวันที่ 3 ธ.ค นี้ ดังนั้นจึงมองว่า SET น่าจะผันผวนในกรอบ 1,360-1,380 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง 

กลยุทธ์วันนี้ Buy on Weakness/เน้นกลุ่มโรงพยายบาลและท่องเที่ยวอย่าง AOT (เป้า 360) ที่เป็น Defensive stock และได้ผลบวกจากเฟดขึ้นดอกเบี้ย  

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น CI ราคาเหมาะสม 3.70 บาท (Turnaround play คาดปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิ 119 ล้านบาทจากปี 2014 ที่ขาดทุน 21 ล้านบาท

อีกทั้งหุ้นที่มีธุรกิจที่มีแนวโน้มดี  ธุรกิจท่องเที่ยว ก่อสร้าง โรงพยาบาล สินเชื่อรายย่อย และพลังงานทดแทนหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตดีในปีหน้า SAWAD-GUNKUL-AOT-CK-STEC-EPG-CI-PREB

 

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ (27 พ.ย.) ประเมิน SET แกว่งตัวระหว่าง 1,360-1,375 จุด โดยแม้ดัชนีมีโอกาสรีบาวด์ หลังปรับตัวลงต่อเนื่อง 3 วันทำการที่ผ่านมากว่า 2.04% แต่คาดดัชนียังมี Upside จำกัด หลังไม่ได้มีปัจจัยขับเคลื่อนชัดเจน อีกทั้งยังมีปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามจากการประชุมทั้งของ ECB ในวันที่ 3 ธ.ค., โอเปกในวันที่ 4 ธ.ค. และเฟดในวันที่ 15-16 ธ.ค. นี้