เก็บสะสม 6 หุ้นเด่น! ช่วงตลาดพักฐานSET บ่ายมีลุ้นฟื้นตัวหากยุโรปรีบาวด์

SET เช้านี้ปรับลงตามตลาดภูมิภาค หลังทราบผลประชุม ECB เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ให้ติดตามผลการประชุมโอเปค และเฟดอีกด้วย บ่ายนี้เกาะติดตลาดในยุโรป เนื่องจากเมื่อวานนี้ร่วงแรง และถ้าวันนี้มีการรีบาวน์ขึ้นจะช่วยหนุนตลาดเอเชีย และตลาดหุ้นไทยด้วย  โดยให้แนวรับ 1,325-1,320 ส่วนแนวต้าน 1,350 จุด


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน ตลาดหุ้นไทยดัชนี SET ช่วงเช้า (4 ธ.ค.) ปรับตัวลงแนวเดียวกับตลาดภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดใหญ่ๆ ปรับตัวลงแรง หลังผลประชุม ECB ออกมาให้มีการขยายเวลาใช้ QE ไปอีก 6 เดือนและให้ลดดอกเบี้ยเงินฝากของแบงก์ที่มาฝากไว้กับ ECB ซึ่งตลาดฯมองใช้ยาอ่อนกว่าที่คาดจึงมี Sell on Fact ออกมา

อย่างไรก็ตาม ให้ติดตามการประชุมเฟดในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ ถ้าเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ส่งผลให้ Flow ไหลกลับเข้าไปที่ตลาดสหรัฐอีกรอบ แต่เศรษฐกิจโลกมองยังมี downside เหตุไร้ปัจจัยกระตุ้นที่มีนัยยะ และราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับต่ำ 

นักวิเคราะห์คาดช่วงบ่าย ให้ติดตามเกาะติดตลาดในยุโรป เนื่องจากเมื่อวานนี้ตลาดในยุโรปร่วงแรงมาก และถ้าวันนี้มีการรีบาวด์ขึ้นก็จะช่วยหนุนตลาดในเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 1,325-1,320 แนวต้าน 1,350 จุด ขณะที่ แนะนำกลยุทธ์ “Selective” เช่น KBANK-MINT-AOTSAWAD-INTUCH และ CPF

 

น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดใหญ่ๆ จะปรับตัวลงแรง หลังจากที่เสร็จสิ้นการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็มี Sell on Fact ออกมา ซึ่งผลการประชุมก็ให้มีการขยายเวลาใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ออกไปอีก 6 เดือน และให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่มาฝากไว้กับ ECB  ซึ่งตลาดฯมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีนี้อ่อนกว่าที่คาดไว้

อย่างไรก็ตาม ให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ ซึ่งถ้าเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ส่งผลให้ Flow ไหลกลับเข้าไปที่ตลาดสหรัฐอีกรอบ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมี downside เนื่องจากไม่มีปัจจัยกระตุ้นที่มีนัยยะ และราคาน้ำมันทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่สดใสในปีนี้ และปีหน้า

ส่วนแนวโน้มการลงทุนบ่ายนี้ แนะให้ติดตามทิศทางตลาดในยุโรปที่เปิดเทรดในช่วงบ่าย เนื่องจากเมื่อวานนี้ตลาดในยุโรปร่วงแรงมาก และถ้าวันนี้มีการรีบาวด์เกิดขึ้นจะช่วยหนุนตลาดในเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย แต่ถ้าตลาดยุโรปยังอยู่ในแดนลบ ตลาดหุ้นไทยคงถอยไปได้อีกเล็กน้อย พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 1,325-1,320 จุด ส่วนแนวต้าน 1,350 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ ( 4 ธ.ค.) SET ปรับลดลงตั้งแต่เปิดตลาด ตามการปรับลดลงของตลาดหุ้นโลก หลัง ECB ไม่เพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตร (Quantitative Easing) รายเดือน จากปัจจุบันที่ EUR6 หมื่นล้านต่อเดือน แต่ทำการขยายระยะเวลาในการทำ QE ไปอีก 6 เดือน สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2560 แทน (เพิ่มวงเงินทั้งหมด EUR3.6 แสนล้าน) โดยประเมินแนวรับระยะสั้นที่ 1,325-1,330 จุด

ทั้งนี้ มองว่าจะยังไม่เห็นแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาแรงๆ ในช่วง 1-1.5 สัปดาห์ข้างหน้านี้ เนื่องจาก 1) SET ปิดทำการหลายวันในสัปดาห์หน้า และ 2) นักลงทุนที่ขายหุ้นไปก่อนหน้านี้ คาดว่าจะรอผลการประชุม FOMC ในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ก่อน ถึงจะตัดสินใจเข้าลงทุนอีกครั้ง

ขณะที่ SET ปรับลดลงแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้มากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยกดดันจากการประมูลคลื่น 1800MHz ที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้, ราคาน้ำมันปรับลดลงต่อเนื่องกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน, Fed มีท่าทีขึ้นดอกเบี้ยที่ชัดเจนมากขึ้นในการประชุมเดือน ธ.ค.นี้, และสถานการณ์ความตึงเครียดในซีเรีย ทำให้ SET อยู่ในช่วง “พักาน” ต่อไป และคงแนะนำกลยุทธ์ “Selective” โดยเน้นการลงทุนในหุ้น 4 กลุ่มหลักดังนี้

1. กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ Valuation ถูก มอง Downside Risk จำกัด: KBANK

2. กลุ่มหุ้น Momentum กำไรดี: MINT-AOT (การปรับสูงขึ้นแรงของ SAWAD ทำให้ระยะสั้นมีความเสี่ยงจากการ “พักฐาน”)

3. กลุ่มสื่อสาร ราคาปรับลดลงมากไป: INTUCH (ปัจจุบันให้ปันผล 7%)

4. กลุ่มหุ้น Turnaround: CPF (ธุรกิจกุ้งฟื้นตัว กำไรกลับมาเติบโตอีกครั้งปีหน้า)

 

สรุป 5 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดภาคเช้า

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,986.33 ล้านบาท ปิดที่ 43.50 บาท ลดลง 0.75 บาท

TKN มูลค่าการซื้อขาย 1,108.85 ล้านบาท ปิดที่ 5.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท

BDMS มูลค่าการซื้อขาย 605.77 ล้านบาท ปิดที่ 20.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 551.82 ล้านบาท ปิดที่ 251.00 บาท ลดลง 6.00 บาท

SCB มูลค่าการซื้อขาย 494.06 ล้านบาท ปิดที่ 128.50 บาท ลดลง 2.00 บาท

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button