หุ้นไทยเจอดีแต่หัวปี

ใครมันจะไปนึก!! เปิดศักราชใหม่มาเทรดวันแรก ตลาดหุ้นไทยก็เจอของดีเข้าซะเต็มเท้า


–ตามกระแสโลก–

 

ใครมันจะไปนึก!! เปิดศักราชใหม่มาเทรดวันแรก ตลาดหุ้นไทยก็เจอของดีเข้าซะเต็มเท้า

ตอนแรกก็แอบหวังลึกๆว่า หลังหยุดยาวปีใหม่คงมีข่าวดีเรื่องดีมาทำให้จอมยุทธ์แห่งตลาดหุ้นได้กระชุ่มกระชวยหัวใจกันบ้าง

ที่ไหนได้ เปิดมาวันแรกก็ต้องรับประเด็นเรื่องจีนปรับลดค่ากลางเงินหยวนไปแบบจัดหนักจัดเต็ม

งานนี้เรียกว่า พี่จีนทำเอาเซ็งกันเป็นแทบ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

เพราะจีนเอง นั้นพร่ำพูดมาอยู่ตลอดเวลาว่า จะลดพึ่งพาการส่งออกแล้วหันมาพึ่งการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น

ซึ่งถือเป็นโมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า New Growth Model

แต่แล้วเหตุใดเล่า ถึงต้องปรับลดค่าเงินตัวเอง (อีกแล้ว)??

เพราะจะว่าไป การทำให้หยวนถูกลง ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการเร่งให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้นเลยซักนิด

มิหนำซ้ำ กำลังซื้อของผู้คนในประเทศยังลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่างหาก

แต่หากจะให้ลองวิเคราะห์ดูว่าทำไม ก็คงเป็นเพราะโมเดลใหม่ที่ว่านี้ ยังไม่แสดงผลสำเร็จซักเท่าไหร่นัก

ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นต้องลดค่าเงินหยวนลงเพื่อกระตุ้นการส่งออก เพราะถือเป็นการประคองตัวเลขจีดีพีเอาไว้ก่อน

อย่างน้อยก็ในระยะสั้นๆต่อจากนี้

แต่ก็นั่นแหละครับ พอความเคลื่อนไหวชนิดนี้เกิดขึ้นทีไร ย่อมหนีไม่พ้นประเด็นเรื่องจีนโหมไฟสงครามค่าเงินซักที

ซึ่งประเด็นตรงนี้ย่อมก่อให้เกิดความตื่นตระหนกใน ตลาดการเงิน-การลงทุน เยี่ยงนี้ทุกคราไป

เรียกได้ว่า การเคลื่อนไหวของแบงก์ชาติจีนในลักษณะนี้ ส่งผลกระทบต่อทั่วโลกอย่างร้ายกาจ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาค

ซึ่งแน่นอน มันหมายรวมถึงบ้านเราด้วย

เพราะงานนี้ เป็นธรรมดาที่คนอื่นต้องพากันคิดอยู่แล้วว่า จีนกำลังแย่แล้วนะ และแน่นอนว่าการปรับลดค่าเงินของจีน ก็มักจะนำมาซึ่งการไหลออกของเงินทุนไปยังตลาดที่มีสกุลเงินที่มีเสถียรภาพสูงกว่า

โดยสามารถย้อนกลับไปมองและเปรียบเทียบกับช่วงต้นไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่จีนตัดขายพันธบัตรสหรัฐฯชนิด 10 ปี ออกมากว่า 1.30 ล้านล้านหยวน (Quantitative Tightening) ได้

ซึ่งตอนนั้นส่งผลให้สถานการณ์เรื่องเงินทุนไหลออกจากบ้านเราและประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆในภูมิภาคเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม

ส่วนอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ จีนนั้นไม่เพียงแต่เป็นผู้ขายรายใหญ่ แต่ยังเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของโลกรายหนึ่งอีกด้วย

ดังนั้น การปรับลดค่าเงินตัวเอง ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศที่มีจีนเป็นลูกค้าอย่างแน่นอน

ซึ่งในระยะสั้นนี้ หากใครต้องการเห็นราคาของสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวขึ้น ก็ยังไม่ต้องคิดและแทบจะลืมไปได้เลย!!

เห็นแบบนี้แล้ว เศรษฐกิจทั่วโลกคงจะซบเซาต่อไปอีกระยะหนึ่งอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ครึ่งแรกของปีนี้

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้คงยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการแทรกแซงค่าเงินหยวน

เพราะหากวัดตามเป้าหมายของแบงก์ชาติจีนที่ต้องการให้เงินหยวนลงมายืนที่ระดับ 7 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะมีการปรับลดค่าเงินกันอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ในปีนี้

แต่ก็หวังว่า ถ้าจะทำก็ขอให้ทำให้เสร็จเสียตั้งแต่ครึ่งปีแรกนี่แหละ เพราะจะได้ทำการปรับฐานให้นิ่งเพื่อให้นักลงทุนได้ลุยกันเต็มสูบเสียที ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

เอาละครับ ยังไงก็ต้องไม่ลืมนะครับว่า ในวิกฤตมักมีโอกาสอยู่เสมอ

หุ้นหลายตัว โดยเฉพาะในกลุ่มสุสาน…เอ้ย!! สื่อสาร ปรับตัวลงลึกชวนให้คิดเสียเหลือเกินว่า “บอททอม” แล้ว

ส่วนอีกกลุ่มที่น่าสนใจจากประเด็นน้ำมันถูก เป็นไปได้อาจเหลือบตามองดูกลุ่มขนส่งซักนิด (นอกเหนือไปจากหุ้นการบิน)  

Back to top button