3 หุ้นแบงก์เป๋าตุง! โกยกำไรปี 58 เกิน 20%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมผลการดำเนินงานปี 2558 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง พบว่า มีกำไรรวมอยู่ที่ 193,003.65 ล้านบาท ลดลง 6.77% จากปีก่อนที่ 207,013.24 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 4 ปี 2558 กำไรรวมอยู่ที่ 43,762.08 ล้านบาท ลดลง 11.52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 49,458.56 ล้านบาท
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมผลการดำเนินงานปี 2558 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง พบว่า มีกำไรรวมอยู่ที่ 193,003.65 ล้านบาท ลดลง 6.77% จากปีก่อนที่ 207,013.24 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 4 ปี 2558 กำไรรวมอยู่ที่ 43,762.08 ล้านบาท ลดลง 11.52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 49,458.56 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานปี 58 ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่ได้มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นจากความกังวลเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กและกลางสามารถสร้างความโดดเด่นได้อย่างอย่างชัดเจน เนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้ไม่มาก โดยทีมงานได้ยกธนาคารที่มีความน่าสนใจ ซึ่งมีผลการดำเนินงานประจำปี 2558 สูงสุด 3 อันดับแรกดังนี้
ตารางผลการดำเนินงานปี 2558 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์
(หมายเหตุ: หน่วยล้านบาท)
อันดับที่หนึ่ง บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHBANK รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 1,651.71 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 0.12 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 37.48% จากปีก่อนที่ มีกำไร 1,201.39 ล้านบาท หรือ มีกำไร 0.09 บาทต่อหุ้น
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยประจำปี 2558 ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 29.1% ตามการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อ Big Corporate และ Corporate เพิ่มสูงถึง 23.7% จากสิ้นปีก่อน และรายได้ค่าธรรมเนียม และบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 61.6%
ด้าน บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น LHBANK ด้วยราคาเป้าหมาย 1.78 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ายังเห็นการเติบโตที่โดดเด่นของสินเชื่อของ LHBANK ในปี 59 ได้ แต่ฐานที่สูงขึ้น ทำให้คาดว่าสินเชื่อในปี 59 อาจจะขยายตัวต่ำกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมาที่ 13%
อย่างไรก็ตามยังน่าจะทำให้กำไรสุทธิเติบโตได้ต่อ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 17.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเป็น 1.9 พันล้านบาท และคาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 0.09 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นจากปี 58 ที่คาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 0.037 บาท/หุ้น
อันดับที่สอง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 18,634.19 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 2.53 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 31.51% จากปีก่อนที่ มีกำไร 14,169.53 ล้านบาท หรือ มีกำไร 2.33 บาทต่อหุ้น
โดยผลการดำเนินงานในปี 58 มีกำไรเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “BUY” หุ้น BAY ด้วยราคาเป้าหมาย 34 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2559 จะอยู่ที่ 1.98 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน
อันดับที่สาม ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 3,317.10 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 3.92 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 21.34% จากปีก่อนที่มีกำไร 2,733.68 ล้านบาท หรือ มีกำไร 3.25 บาทต่อหุ้น
โดยผลการดำเนินงานในปี 58 มีกำไรเพิ่มขึ้น เป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ได้แก่ บล.ภัทร บล.เคเคเทรด และ บลจ.ภัทร จำนวน 1,010 ล้านบาท หากพิจารณากำไรเบ็ดเสร็จรวมจะเท่ากับ 3,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุนจำนวน 865 ล้านบาท
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” ด้วยราคาเป้าหมาย 42 บาทต่อหุ้น เนื่องจากผลประโยชน์ทางภาษีจากอัตราภาษีจ่ายที่ลดลงแล้ว คาดว่าผลการดำเนินงานปี 2559 ที่คาดปรับตัวดีขึ้นมาจากการเติบโตของสินเชื่อ และการจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีคุณภาพยังคงเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการของเรา
นอกจากนี้ ปัจจุบันหุ้นซื้อขายกันที่มูลค่า PBV ที่ค่อนข้างถูกที่ 0.8 เท่าในปี 2559 ซึ่งคาดมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 5.7% จากประมาณการที่สูงขึ้น ฝ่ายวิจัยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 42 บาท อ้างอิงจาก PBV ที่ 0.9 ท่า ทั้งนี้ คงคำแนะนำ ถือ ในฐานะหุ้นปันผล
อันดับที่สี่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 1,052.48 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 0.05 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 6.44% จากปีก่อนที่ มีกำไร 988.80 ล้านบาท หรือ มีกำไร 0.05 บาทต่อหุ้น
อันอับที่ห้า บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 5,436.58 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 4.61 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 6.18% จากปีก่อนที่ มีกำไร 5,120.20 ล้านบาท หรือ มีกำไร 4.24 บาทต่อหุ้น
อันดับที่หก บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 4,250.12 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 5.31 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 0.01% จากปีก่อนที่ มีกำไร 4,249.52 ล้านบาท หรือ มีกำไร 5.31 บาทต่อหุ้น
อันดับที่เจ็ด ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 9,333.07 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 0.2134 บาทต่อหุ้น ลดลง 2.16% จากปีก่อนที่ มีกำไร 9,538.88 ล้านบาท หรือ มีกำไร 0.2185 บาทต่อหุ้น
อันดับที่แปด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 34,180.63 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 17.91 บาทต่อหุ้น ลดลง 5.92% จากปีก่อนที่ มีกำไร 36,332.18 ล้านบาท หรือ มีกำไร 19.03 บาทต่อหุ้น
อันดับที่เก้า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 47,182.41 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 13.88 บาทต่อหุ้น ลดลง 11.54% จากปีก่อนที่ มีกำไร 53,334.62 ล้านบาท หรือ มีกำไร 15.69 บาทต่อหุ้น
อันดับที่สิบ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 28,491.72 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 2.04 บาทต่อหุ้น ลดลง 14.16% จากปีก่อนที่ มีกำไร 33,191.03 ล้านบาท หรือ มีกำไร 2.37 บาทต่อหุ้น
อันดับสุดท้าย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 39,473.64 ล้านบาท หรือ มีกำไรสุทธิ 16.49 บาทต่อหุ้น ลดลง 14.47% จากปีก่อนที่ มีกำไร 46,153.41 ล้านบาท หรือ มีกำไร 19.28 บาทต่อหุ้น