21 เม.ย.นี้! “ไทย” เปิดฉากเจรจาการค้า “สหรัฐ” ชู 5 แผน ขึ้นแท่นพันธมิตรเศรษฐกิจโลก

โฆษกรัฐบาล เปิดเผยเจรจาการค้าสหรัฐฯ หลังประกาศภาษีตอบโต้ไทย 36% เตรียมบินบุกวอชิงตัน ก่อน “ทีมไทยแลนด์” จะเปิดโต๊ะเจรจา 21 เม.ย.นี้


วันนี้ (14 เม.ย.68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะกรรมการติดตามมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา ได้หารือร่วมกับกระทรวงต่าง ๆ และภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย และกลุ่มผู้ส่งออกและนำเข้าด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

(จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี / ภาพ สำนักโฆษก ทำเนียบรัฐบาล)

รัฐบาลไทยได้สรุปยุทธศาสตร์เบื้องต้นสำหรับเจรจาทางการค้า เพื่อเตรียมพร้อมสู่การหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในปลายเดือนนี้

(คณะกรรมการติดตามมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา ประชุมที่กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 11 เม.ย.68 / ภาพจาก สำนักโฆษก ทำเนียบรัฐบาล)

ไทมไลน์การเดินทางของ “ทีมไทยแลนด์”

  • 15 เม.ย.68 คณะกรรมการฯ เตรียมสรุปผลการวิเคราะห์ผลดี-เสีย และความเป็นไปได้จากทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมเป็นข้อมูลในการเจรจา
  • 17 เม.ย.68 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจา ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี นำคณะเดินทางล่วงหน้าไปยังเมืองซีแอตเทิล พบปะภาคธุรกิจการเกษตร อุตสาหกรรม และการลงทุน
  • 20 เม.ย.68 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินทางสมทบ เพื่อรวมเป็น “ทีมไทยแลนด์” เต็มรูปแบบ
  • 21 เม.ย.68 คณะ “ทีมไทยแลนด์” เดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเตรียมเข้าพบผู้แทนของรัฐบาลสหรัฐฯ และเปิดฉากการเจรจาอย่างเป็นทางการ

“คณะเจรจายังมั่นใจว่าประเทศไทยจะมีทางออกที่ดีที่สุดในการค้าระหว่างประเทศครั้งนี้อย่างแน่นอน” นายจิรายุ กล่าว

แนวทางของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าและมาตรการด้านภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้ 5 หลักการ ดังนี้

  1. การเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่ไทยและสหรัฐฯ เกื้อหนุนกัน โดยรัฐบาลไทยเห็นว่า ความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพร่วมกัน เช่น เกษตร อาหาร และเทคโนโลยี ถือเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสองประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตพรีเมียมเกรด และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโลกได้มากขึ้น หากมีการเสริมวัตถุดิบจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ที่มีต้นทุนต่ำและคุณภาพสูง
  2. การเปิดตลาดและลดภาษี ลดอุปสรรคทางการค้าตาม National Trade Estimate 2025 ของสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลไทยพร้อมพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีนำเข้า และบริหารโควตาสินค้าเกษตรที่สหรัฐฯ มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น ข้าวโพด เพื่อเปิดตลาดในลักษณะที่ไม่กระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยจัดสรรการนำเข้าเฉพาะช่วงที่สินค้าในประเทศขาดแคลน สร้างระบบการค้าที่เป็นธรรมและยืดหยุ่นต่อทุกฝ่าย
  3. การเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ ในสินค้าที่ไทยจำเป็นต้องใช้ โดยไทยเตรียมพิจารณานำเข้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ และวัตถุดิบที่ภาคอุตสาหกรรมต้องใช้แต่ผลิตไม่ได้เพียงพอ เช่น วัตถุดิบด้านปิโตรเคมี หรือเครื่องบินพาณิชย์ เพื่อเติมเต็ม supply chain ของประเทศ รวมถึงสินค้าที่ประเทศไทยเป็น Net Importer อาทิ ชีส ถั่ววอลนัท ผลไม้สดที่ไทยผลิตเองไม่ได้ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ลซึ่งจะเป็นการสร้างสมดุลด้านการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้ลดการได้เปรียบดุลการค้า
  4. การตรวจสอบเพิ่มความเข้มงวดสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศที่สาม โดยรัฐบาลตระหนักถึงความกังวลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าราคาต่ำจากประเทศที่สามผ่านไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จึงจะมีมาตรการคัดกรองสินค้าต้นทาง ตรวจสอบแหล่งกำเนิดอย่างเข้มงวด และยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้โปร่งใสและเป็นไปตามหลักสากล สร้างความเชื่อมั่นในฐานะคู่ค้าที่มีธรรมาภิบาล
  5. การส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แล้ว ไทยยังมีแผนผลักดันให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปในสหรัฐฯ โดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ผลิตสินค้าส่งออกจากฐานการผลิตในอเมริกาไปยังตลาดโลก ซึ่งไม่เพียงช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ยังช่วยลดแรงต้านด้านการค้าและสร้าง value chain ใหม่ที่เข้มแข็ง

“ทั้งนี้ ในการประชุมหารือและได้ข้อสรุปในทุกประเด็นดังกล่าวแล้วนั้น ได้รายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบทุกระยะ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้คณะเจรจาดำเนินการให้เต็มที่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายทั้งการค้าระหว่างประเทศและภาคธุรกิจเอกชนที่เป็นส่วนสำคัญในการนำผลิตภัณฑ์เมดอินไทยแลนด์ ไปสู่ตลาดสหรัฐและตลาดโลกต่อไป” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ การเจรจาการค้าในครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการทางภาษีที่กระทบต่อสินค้านำเข้าจากไทย โดยเฉพาะอัตราภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 36% ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 10–25% สะท้อนถึงแรงกดดันทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

ตามรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2567 ประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า 41,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าทั้งปี 2566 ที่อยู่ที่ 40,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ไทยยังขยับขึ้นมาเป็นประเทศอันดับที่ 10 ของโลกที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สหรัฐฯ พิจารณามาตรการทางการค้าเพิ่มเติมต่อไทย

(การหารือที่บ้านพิษณุโลก วันที่ 14 เม.ย.68 / ภาพจาก สำนักโฆษก ทำเนียบรัฐบาล)

นายจิรายุ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในช่วงบ่ายวันนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร ได้เชิญคณะทำงานด้านการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เข้าหารือร่วมกับทีมที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี นำโดย นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบาย และนายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ณ บ้านพิษณุโลก ก่อนกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 17 เม.ย.นี้

(การหารือที่บ้านพิษณุโลก วันที่ 14 เม.ย.68 / ภาพจาก สำนักโฆษก ทำเนียบรัฐบาล)

โดยการหารือครั้งนี้เป็นการประเมินสถานการณ์ล่าสุด และกำหนดยุทธศาสตร์การเจรจาอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งการค้า การลงทุน และภาคการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ายุทธศาสตร์ของไทย เช่น เกษตร พลังงาน และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมถึงการพิจารณารายชื่อคู่เจรจาสำคัญจากภาครัฐและเอกชนของสหรัฐฯ ที่จะพบปะในครั้งนี้ เพื่อให้การเจรจามีน้ำหนัก เป้าหมายชัดเจน และตอบโจทย์ความคาดหวังของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (15 เม.ย.68) คณะทำงานจะเดินหน้าหารือกับภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง

Back to top button