หุ้นทีวีดิจิตอลยังไม่พ้นวิกฤต!กสทช.ฟันปีนี้ศึกหนัก-แข่งเดือด
หุ้นทีวีดิจิตอลยังไม่พ้นวิกฤต! กสทช.ชี้ปีนี้่ยังเจอศึกหนักจากการแข่งขันที่ดุเดือด ขณะที่ระยะเวลาคืนทุนอยู่ที่ 5 ปี ด้านผู้ประกอบการเร่งโปรโมทรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว หวังหนุนธุรกิจเติบโต
หุ้นทีวีดิจิตอลยังไม่พ้นวิกฤต! กสทช.ชี้ปีนี้่ยังเจอศึกหนักจากการแข่งขันที่ดุเดือด ขณะที่ระยะเวลาคืนทุนอยู่ที่ 5 ปี ด้านผู้ประกอบการเร่งโปรโมทรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว หวังหนุนธุรกิจเติบโต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง ,กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการ (กสท.) เปิดเผยว่า ทิศทางดิจิตอลทีวีในปี 59 จะเห็นการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น โดยช่องที่ติดอันดับต้นๆ ยังคงเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อรักษากลุ่มผู้ชมในระยะยาว รวมทั้งการสร้างเนื้อหาใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อเจาะตลาดผู้ชมกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเปิดรับและจดจำช่องใหม่ๆ ได้ในเวลาไม่นาน
ขณะที่ผลกำไรนั้นมีการคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าระยะเวลาคืนทุนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ความยากในการแข่งขันของผู้ประกอบการทุกรายจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สุดท้ายเนื้อหารายการจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้อย่างแท้จริง
สำหรับช่องดิจิตอลทีวีที่ได้รับความนิยมเป็นลำดับต้นๆ ได้แก่ Workpoint เรตติ้งขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ตั้งแต่ปลายปี 57 รองจากช่อง 7 และช่อง 3HD ขณะที่ช่อง 8 และช่อง MONO 29 ขึ้นมาติดอันดับ 4 และอันดับ 5 ในช่วงต้นปี 58 ส่วนสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และช่อง 7 ในระบบอนาล็อกเดิมนั้น ยังเป็นสองช่องทีวีที่ครองตลาดส่วนใหญ่ แต่มีแนวโน้มที่ช่องทีวีมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน (Target group) กำลังมีเรทติ้งสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลจากการเปลี่ยนผ่านระบบโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่การรับส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอลทีวี ขณะนี้เริ่มเห็นจำนวนผู้ชม เม็ดเงินโฆษณา และเม็ดเงินในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องมีการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
โดยดิจิตอลทีวียังช่วยให้อุตสาหกรรมโฆษณาในปี 58 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เม็ดเงินโฆษณาได้กระจายสู่ดิจิตอลทีวีที่เคยกระจุกตัวอยู่ที่ 6 ช่องหลัก โดยปี 58 มูลค่าโฆษณาในดิจิตอลทีวีมีอัตราเติบโตถึง 144% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นเม็ดเงินเข้าช่องดิจิตอลทีวีทั้งสิ้น 20,930 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 8,584 ล้านบาท
ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาใน 6 ช่องเดิมในปี 58 ลดลงเหลือ 57,526 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 63,776 ล้านบาท และยังทำให้ภาพรวมการลงโฆษณาในอุตสาหกรรมทีวีปี 58 สูงขึ้นถึง 78,456 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 72,360 ล้านบาท หรือเติบโต 8.43% แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีนักในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่ดุเดือดในปีนี้มีดังนี้
ตารางแสดงผลการดำเนินงาน
บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 มีผลขาดทุนสุทธิ 486.57 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.158 บาทต่อหุ้น ขาดทุนเพิ่มขึ้น 3,817.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 12.42 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.004 บาทต่อหุ้น
บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีผลขาดทุนสุทธิ 1.15 พันล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 1.40บาทต่อหุ้น ขาดทุนลดลง 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 2.41 พันล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 3.66 บาทต่อหุ้น
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 57.81 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.08 บาทต่อหุ้น ลดลง 86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 412.80 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.60 บาทต่อหุ้น โดยกำไรในปี 58 ที่ลดลง สาเหตุหลักมาจากรายได้รวมของธุรกิจหลักลดลง เนื่องจากธุรกิจดิจิตอลทีวีมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 มีกำไรสุทธิ 121.63 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.1208 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 64% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 340.98 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.3465 บาทต่อหุ้น
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 มีกำไรสุทธิ 2.98 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 1.49 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 31% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.34 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 2.17 บาทต่อหุ้น
บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 163.66 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.394 บาทต่อหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 1,121.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 16.02 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.042 บาทต่อหุ้น