วันหน้าที่ยังไม่สดใสของตลาดหุ้นไทย
มติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา เรียกกระแสฮือฮาจากตลาดหุ้นไปมากทีเดียว
–ตามกระแสโลก–
มติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา เรียกกระแสฮือฮาจากตลาดหุ้นไปมากทีเดียว
โดยที่ประชุมมีมติออกมา 3 ข้อด้วยกัน ประกอบด้วย…
1. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรลดลงจาก 0.05% มาอยู่ที่ 0.00% ถือว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
2. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องชำระค่าธรรมเนียมเงินฝากกับ ECB เพิ่มขึ้น จากระดับ -0.30% มาเป็น -0.40%
3. ปรับเพิ่มวงเงินการซื้อพันธบัตร ส่งผลให้มาตรการ QE ขยายตัวสู่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน จากเดิมอยู่ที่ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน
ด้านตลาดหุ้นบ้านเราเอง ถือว่าซึมซับรับประเด็นตรงนี้ไปมากทีเดียว โดยบวกขึ้นมาอีก 14.35 จุด มาอยู่ที่ 1,393.41 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ซึ่งด้วยหลักการแล้ว ฟันด์โฟลว์ย่อมไหลออกจากตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำ สู่ตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เป็นธรรมดา
โดยตลาดหุ้นไทย ก็ถือว่าอยู่ในข่ายตลาดที่ให้รีเทอร์นสูงกว่าเช่นกัน ด้วยความที่เป็นตลาดเกิดใหม่ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่า
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติจริงๆ ก็ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่า เม็ดเงินจากยุโรป นั้นจำเป็นต้องไหลเข้าสู่ตลาดเมืองไทย
แต่อย่างน้อยที่สุด ประเด็นนี้ก็ได้สร้างเซนทิเมนต์เชิงบวกให้กับตลาดหุ้นบ้านเราไปไม่น้อย แม้อาจจะเกิดขึ้นแค่ในระยะสั้นๆก็ตามที
นอกจากนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ การอัดยาขนานแรงโดย ECB ครานี้ เสมือนเป็นการตอกฝาโรงว่า เฟดจะไม่ทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 1 อย่างแน่นอน
เพราะความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณสำคัญเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของยุโรปที่ยังไม่พร้อมต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ซึ่งหากผลออกมาเช่นนั้นจริง จะถือเป็นข่าวดีชิ้นใหญ่สำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่อีกหนึ่งชิ้น รวมถึงประเทศไทยเราด้วย
สำหรับตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า เชื่อว่าคงเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์แห่งความสุข
โดยตัวเลขซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติจะเป็นตัวดันหุ้นในกลุ่ม Large Cap. ได้เป็นอย่างดี
หากนับตั้งแต่ต้นเดือนมา บัญชีต่างชาติซื้อสุทธิไปแล้วเกือบ 1.60 หมื่นล้านบาท ถือเป็นเหตุผลหลักของการปรับตัวขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ลืมไม่ได้เลยคือ การปรับตัวขึ้นของหุ้นไทยรอบนี้มิได้เป็นผลสืบเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจแต่อย่างใด หากแต่เป็นการขึ้นจากปัจจัยแวดล้อมเท่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่ต้องจับตามองย่อมหนีไม่พ้น พฤติกรรมตีหัวเข้าบ้าน ของนักลงทุนฝรั่ง เพราะถือเป็นความเสี่ยงต่อนักลงทุนไทยอย่างยิ่ง ถึงแม้บางครั้งอาจจะมีรับบทพระเอกไปเล่นบ้างก็ตาม
เศรษฐกิจย่ำแย่แต่หุ้นขึ้นเอาๆแบบนี้ นักลงทุนอิงกระแสได้แต่อย่าเพลิดเพลินจนเกินไปนะครับ