ดูให้ชัด! 6 หุ้นจิ๋วฟอร์มตก ราคาหด-กำไรหาย
เปิด 6 หุ้นจิ๋วฟอร์มตก นักลงทุนซดแห้ว หลังราคาหุ้น 4 เดือนแรก ร่วงหนักเกิน 20% ด้านผลประกอบการไม่เป็นที่ประทับใจ อนาคตยังไม่สดใส
เปิด 6 หุ้นจิ๋วฟอร์มตก นักลงทุนซดแห้ว หลังราคาหุ้น 4 เดือนแรก ร่วงหนักเกิน 20% ด้านผลประกอบการไม่เป็นที่ประทับใจ อนาคตยังไม่สดใส
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกบจ.ที่การซื้อขายมีสภาพคล่อง ซึ่งราคาหุ้นที่มีการปรับตัวลงเกิน 20% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.58 จนถึงวันที่ 29 เม.ย.59 มีทั้งหมดดังนี้
ตารางแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น
อันดับที่ 1 บริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TAPAC ในช่วงเดือน ม.ค. บริษัทระบุว่าจะทำการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,137,267,158 บาท จากเดิมที่ 227,267,158 บาท โดยออกหุ้นใหม่ไม่เกิน 910,000,000 บาท พาร์หุ้นละ 1 บาท เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม 631,565,156 หุ้นอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 4 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 1 บาท และจัดสรร 278,434,844 หุ้นใช้รองรับการปรับสิทธิแปลงสภาพ TAPAC-W2 จึงส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงเนื่องจากจะทำการเพิ่มทุนเป็นจำนวนมาก ต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ยกเลิกวาระการประชุมผู้ถือหุ้นกรณีการพิจารณาเพิ่มทุนและการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
นอกจากนี้จากการตรวจสอบข้อมูลหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พบว่า TAPAC เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการระดับ 1 cash balance มากที่สุด โดยเข้าเกณฑ์ทั้งหมด 5 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.58 ยาวต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 22 เม.ย.59
อันดับที่ 2 บริษัท แอลดีซี เด็นทัล จำกัด (มหาชน) หรือ LDC โดยช่วงเดือนมี.ค.บริษัทออกมาระบุว่าจะทำการเพิ่มทุนจะทะเบียน จำนวน 100,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ให้แก่นักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจง (PP) จากข่าวการเพิ่มทุนส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เม.ย.คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมจำนวน 100,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 150,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท
อันดับที่ 3 บริษัท เอ็มพีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MPG เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า ผลประกอบการของบริษัทยังไม่ฟื้นตัว โดยผลประกอบการงวดล่าสุดยังมีผลขาดทุนอยู่ 60.47 ล้านบาท ขณะที่ยังไม่มีปัจจัยบวกด้านอื่นๆ คอยหนุน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่อง
อันดับที่ 4 บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM ผลการดำเนินงานประจำปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.58 มีกำไรสุทธิ 14.62 ล้านบาท หรือมีกำไรต่อหุ้น 0.01 บาทต่อหุ้น ลดลง 40.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 24.53 ล้านบาท หรือมีกำไรต่อหุ้น 0.02 บาทเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น
อันดับที่ 5 บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ K หุ้นน้องใหม่ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (mai) วันที่ 18 ธ.ค.58 เป็นวันแรก ปิดตลาดที่ราคา 7.25 บาท จาก IPO ที่ 5.80 บาท ซึ่งหลังจากเข้าซื้อขายวันแรกราคาหุ้นก็ปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง
อันดับที่ 6 บริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ T ถึงแม้ผลการดำเนินงานในงวดล่าสุดจะพลิกมีกำไรกว่า 27 ล้านบาท อีกทั้งยังมีข่าวดีเกี่ยวกับการเซ็นสัญญางานรับเหมาก่อสร้างต่างๆ เข้ามา แต่ราคาหุ้นยังไม่ตอบรับปัจจัยดังกล่าว ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะนักลงทุนไม่มั่นใจในพื้นฐานของบริษัทว่าจะมีการเติบโตต่อเนื่องหรือไม่
จากข้อมูลข้างต้น เป็นที่น่าจับตาว่าราคาหุ้นของบจ.ดังกล่าวจะสามารถปรับตัวขึ้นได้หรือไม่ หากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/59 ที่เริ่มทยอยประกาศออกมาเป็นไปในทางที่ดีอาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นรับข่าวดีได้ แต่หากผลการดำเนินงานลดลงอาจจะยิ่งกระทบต่อราคาหุ้นในด้านลบ
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน