โบรกฯคัด 12 หุ้นรายตัวมีประเด็นร้อนSET ไซด์เวย์รอความชัดเจน Brexit

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยแม้จะมีการรีบาวด์ได้ดี แต่ยังอยู่ในแนวโน้มพักฐาน วันนี้มีโอกาสไซด์เวย์ตามตลาดต่างประเทศเพื่อรอดูผลโหวต Brexit ในสัปดาห์หน้า ขณะที่ประเด็นเรื่องเฟดตลาดได้รับรู้ไปก่อนหน้านี้แล้ว การลงทุนเน้นหุ้นรายตัว และหุ้นที่ได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.25 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.20 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียขยับขึ้นเล็กน้อยในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยแม้จะมีการรีบาวด์ได้ดี แต่ยังอยู่ในแนวโน้มพักฐาน วันนี้มีโอกาสไซด์เวย์ตามตลาดต่างประเทศเพื่อรอดูผลโหวต Brexit ในสัปดาห์หน้า ขณะที่ประเด็นเรื่องเฟดตลาดได้รับรู้ไปก่อนหน้านี้แล้ว การลงทุนเน้นหุ้นรายตัว และหุ้นที่ได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก

หุ้นเด่นเลือก BEAUTY-GLOBAL-THANI-KTC-SPALI-CPALL-JASIF-BTSGIF-DIF-CK-SEAFCO และ THAI

 

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ อิงทางลงในกรอบ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะติดลบเช้านี้ โดยตลาดฯยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของอังกฤษที่จะออกจากอียูหรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอดูการลงประชามติในสัปดาห์หน้า หากอังกฤษออกจากอียูก็เป็นภาพ Negative มากกว่า เพราะจะสร้างความไม่แน่นอน และมีผลต่อ Sentiment ของตลาดฯด้วย

สำหรับการที่เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยก็เป็นเป็นตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ตลาดฯรับรู้ไปแล้ว ดังนั้นช่วงนี้ตลาดฯคงเป็นลักษณะ Wait & See เพื่อรอดูการลงประชามติของอังกฤษก่อน และนักลงทุนคงจะระมัดระวังในการซื้อขาย พร้อมให้แนวรับ 1,420 จุด ส่วนแนวต้าน 1,440-1,450 จุด

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (16 มิ.ย.) ว่า แม้ Rebound ดี แต่ยังมอง SET อยู่ในแนวโน้มการ “พักฐาน” ต่อไป ก่อนการทำประชามติ UK ว่าจะออกจากการเป็นสมาชิก EU หรือไม่วันที่ 23 มิ.ย.นี้ ขณะที่การประชุม FOMC เมื่อคืนนี้คงดอกเบี้ยที่ 0.25-0.50% ต่อ แต่ลดคาดการณ์ (Median Interest Rate Projections) ดอกเบี้ยระยะกลาง-ยาวลง เหลือ 0.9% ภายในสิ้นปี 2016, 1.6% ภายในสิ้นปี 2017 (เดิม 1.9%) และ 2.4% ภายในสิ้นปี 2018 (เดิม 3.0%) และระยะยาวที่ 3.0% (เดิม 3.3%) กดดัน Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯ ลงต่ำกว่า 1.6% เช้านี้ เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้น Yield Plays รวมไปถึง Asset Funds

แนะนำ “ซื้อ” Consumption Plays การบริโภคภายในประเทศฟื้นตัว, อสังหาฯ ดอกเบี้ยต่ำยาวนาน, รับเหมาฯ เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, และ Asset Funds

1) Consumption Plays และอสังหาฯ : “ซื้อ” BEAUTY GLOBAL THANI KTC SPALI (ต้าน 23.3 บาท) และ “เก็งกำไร” ทางเทคนิค CPALL

2) Asset Funds : “ซื้อ” JASIF (ปันผล 9-10%) BTSGIF และ DIF

3) รับเหมาฯ : เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน CK SEAFCO

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (16 มิ.ย.) ประเมินตลาดยังคง Sideway เพื่อรอดูผลโหวต Brexit ในสัปดาห์หน้า ซึ่งหากยังอยู่ใน EU คาดนักลงทุนจะหันกลับเข้าสู่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง โดยวางแนวรับ 1,415-1,420 จุด แนวต้าน 1,440 จุด แนะนำเทรดดิ้งระยะสั้นตามกรอบการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนผล Brexit ในสัปดาห์หน้า

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (16 มิ.ย.) ว่า แนวโน้ม SET วันนี้น่าจะผันผวนตามตลาดหุ้นภูมิภาค แม้ผลประชุมเฟดเมื่อคืนมีทั้งบวกและลบ โดยประเด็นที่เป็นผลกระทบในเชิงบวกคือ เฟดปรับลดเป้าการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2017 และ 2018 ซึ่งจะหนุน Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นบ้านเรา ส่วนที่เป็นผลกระทบในเชิงลบคือ เฟดมีมุมมองต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐที่ลดลง โดยหั่นจีดีพีปีนี้ลงเหลือ 2% จาก 2.2% และปีหน้าลดลเหลือ 2% จาก 2.1%

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงความกังวลต่อผลการทำประชามติของอังกฤษที่จะแยกตัวออกจาก EU ในสัปดาห์หน้า ซึ่ง Poll ล่าสุดพบว่าผู้ที่ต้องการให้ออกจาก EU ยังสูงกว่าที่ต้องการให้อยู่ต่อ ส่วนปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารอาจได้รับแรงกดดันจากการปรับลดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินผ่านทางอิเล็คทรอนิกส์กว่า 70-100% ซึ่งจะทำให้กำไรของกลุ่มธนาคารหายไปประมาณ 3-6% หุ้นที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือแบงก์ขนาดใหญ่

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ ผลการประชุม BOJ ตลาดคาดว่าน่าจะยังไม่มีการออกมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน BOE ก็น่าจะยังใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ฉะนั้น SET วันนี้จะผันผวนมาก หุ้นขนาดกลางและเล็กที่เป็น Domestic Play จะยังเป็นกลุ่มนำตลาด และอาจเกิดแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบยังปรับลง 5 วันติดต่อกัน

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: Selective BUY

หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น : THAI (ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลง แนวโน้มไตรมาส 2/59 พลิกเป็นกำไรเทียบกับไตรมาส 2/58 ที่ขาดทุน)

Back to top button