“สยามพิวรรธน์” สร้างยอดขายทะลุเป้าทุกศูนย์การค้า ชูกลุ่มลักซ์ซูรี่แบรนด์โตกว่า 2 เท่า!

“สยามพิวรรธน์” สร้างปรากฏการณ์ยอดขายทะลุเป้าทุกศูนย์การค้า ชูกลุ่ม “ลักซ์ซูรี่แบรนด์” ยอดขายโตกว่า 2 เท่า! ย้ำผู้นำครองฐานลูกค้ากลุ่มกำลังซื้อสูงมากสุดในไทย


กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพฯ ภายใต้วิสัยทัศน์ผู้นำความคิดสร้างสรรค์ (The Visionary ICON) ประกาศความสำเร็จผลประกอบการของทั้งกลุ่มเติบโตทะลุเป้ามากกว่า 15% ในไตรมาส 4/2564 โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มลักซ์ซูรี่แบรนด์ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดตลอดระยะเวลา 2 ปี จากที่หลายแบรนด์ขยายพื้นที่ร้าน และแบรนด์ดังๆ มีการนำเสนอความแปลกใหม่ผ่าน “Pop-up Store” หนึ่งเดียวในประเทศไทยกับกลุ่มสยามพิวรรธน์

ทั้งนี้เพื่อขายสินค้าลิมิเต็ดคอลเลคชั่นพิเศษอย่างต่อเนื่อง สร้างความตื่นตาตื่นใจตอบโจทย์ประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า ย้ำความเป็นผู้นำที่ครองฐานกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนปี 2565 เสริมความแข็งแกร่งผ่านการขายที่เชื่อมทุกดิจิทัลแพลตฟอร์มกับศูนย์การค้า นำพันธมิตร ร้านค้า และคู่ค้า สร้างความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน

นางสรัลธร อัศเวศน์ ผู้บริหารสายงานบริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เปิดเผยว่า สยามพิวรรธน์ประสบความสำเร็จอย่างสูงมากในปี 2564 สามารถสร้างรายได้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ถึง 15% ในไตรมาส 4/2564 ซึ่งเป็นผลจากการปรับแผนกลยุทธ์การตลาดและการขายออกสู่ทุกแพลตฟอร์มตลอดทั้งปี มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ผ่านการสร้างบริการโซเชียลและอีคอมเมิร์ซ (Social and E-Commerce), Call  & Shop, Siam Paragon Luxury Chat & Shop และ Ultimate Chat & Shop ที่บริษัทดำเนินการเองเพื่อช่วยขายสินค้าให้บรรดาร้านค้าและพันธมิตรทั้งหมด ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าครอบคลุมต่างจังหวัดได้สำเร็จ

อีกทั้งได้ร่วมมือกับทางแอปพลิเคชั่นที่หลากหลายเพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายครบรูปแบบออมนิแชนแนล (Omni-Channel) จนถึงการเปิดตัว ONESIAM SuperApp เมื่อปลายปี 2564 ผลักดันให้ยอดซื้อในส่วนของกลุ่มลูกค้าสมาชิกเพิ่มขึ้นกว่า 45% จากปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมพร้อมเดินหน้าสร้างอีโคซิสเต็ม (ecosystem) ให้ 4 ศูนย์การค้าของบริษัทฯ เป็นศูนย์กลางการ Earn & Burn สิทธิประโยชน์ และ VIZ Coin โดยเชื่อม 1,000 ร้านค้าและพันธมิตรชั้นนำกว่า 100 รายจาก 13 ประเภทอุตสาหกรรม ครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ เพื่อสร้างยอดขายที่ก้าวกระโดดร่วมกันทุกฝ่ายในปี 2565 อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามแม้ในปี 2564 ที่ผ่านมา จะมีปัจจัยท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่สินค้ากลุ่มลักซ์ซูรี่แบรนด์ทุกประเภทได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าคนไทยล้วนๆ ที่มีกำลังซื้อสูงในทุกศูนย์การค้า โดยเฉพาะจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนม ตอกย้ำให้สยามพารากอนและไอคอนสยามเป็น Destination ของ Luxury Brand ที่รวมแบรนด์ชั้นนำทุกประเภททั้งสินค้าแฟชั่น accessories นาฬิกาและเครื่องประดับชั้นสูงได้ครบครันมากที่สุดในประเทศ และหลายแบรนด์ดังมีสต๊อกสินค้าใหม่ๆ ที่มากกว่าร้านในฮ่องกงและสิงค์โปร์อีกด้วย ซึ่งระหว่างวิกฤตการณ์โควิดทั้งสองปี ร้านค้ากลุ่มนี้ ในทั้งสองศูนย์การค้าสามารถสร้างยอดขายและมีอัตราเติบโตที่โดดเด่นสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก

โดยมีปัจจัยมาจากลักซ์ซูรี่แบรนด์หลายรายได้ขยายพื้นที่ของร้านในสยามพารากอน และแบรนด์ดังๆ ได้ร่วมเปิดพื้นที่เป็น “Pop-up Store” ในไอคอนสยามด้วย เพื่อขายลิมิเต็ดคอลเลคชั่นพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าคนไทยท่วมท้นเกินความคาดหมาย ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่เพื่อเปิด Pop-up Store ทุกเดือนและเต็มตลอดจนถึงปี 2566 แล้ว

อีกทั้งสยามพิวรรธน์ได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์และพันธมิตรในอีโคซิสเต็ม เช่น กลุ่มสายการบิน โรงพยาบาล และบริษัทประกันภัย เพื่อช่วยบริหารจัดการลูกค้ากำลังซื้อสูงของทุกรายให้ได้สิทธิประโยชน์ที่เงินซื้อไม่ได้ และเติมเต็มประสบการณ์เหนือความคาดหมายได้มากขึ้น อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รายได้ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ เติบโตเกินเป้าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 คือ กลุ่มวันสยาม (ONESIAM) ที่สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่โดยมีผู้เช่ารายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเข้ามาสร้างสีสัน ซึ่งเป็นแรงดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการมากในไตรมาสสุดท้ายของปี

ส่วนนายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า หลังจากเปิดให้บริการมาครบ 3 ปี ไอคอนสยามประสบความสำเร็จอย่างมากในการฟันฝ่าและเอาชนะสถานการณ์การแพร่ระบาดตลอดระยะเวลา 2 ปี สามารถสร้างฐานลูกค้าประจำที่เป็นคนไทยล้วนๆ เห็นได้จากจำนวนลูกค้าในปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นมากจากปี 2563 ส่งผลให้ยอดขายไตรมาสสุดท้ายเพิ่มขึ้นถึง 43% ซึ่งเป็นรายได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์นับจากเปิดโครงการมาแล้ว 3 ปี และที่สำคัญคือยอดขายเติบโตในทุกกลุ่มสินค้าและบริการ เพราะมีกำลังซื้อจากสมาชิกลูกค้าประจำที่โดดเด่นมาก ซึ่งคิดเป็น 40% ของยอดขายทั้งหมด

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ไอคอนสยามมีฐานลูกค้าประจำที่เป็นคนไทยจำนวนมาก รวมทั้งมีกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นลูกค้าที่อาศัยในฝั่งธนบุรีและจังหวัดใกล้เคียงอีกหลายจังหวัดที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยเป็นประจำ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์วิสัยทัศน์แรกเริ่มของไอคอนสยามที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างเศรษฐกิจฝั่งกรุงเทพตะวันตกให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งวันนี้กระทำได้สำเร็จแล้วท่ามกลาง วิกฤตโควิด-19

โดยในปี 2565 ลูกค้าไอคอนสยามที่เป็นสมาชิก VIZ Card จะได้ใช้ VIZ Coin ผ่าน ONESIAM SuperApp ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระตุ้นการใช้จ่ายให้เติบโตถึง 15-20% และปัจจัยที่จะส่งผลให้มีความคึกคัก คือศูนย์ประชุมและการแสดงมาตรฐานระดับโลก ทรู ไอคอน ฮอลล์ (True Icon Hall) มียอดจองจัดงานแล้วทั้งปี ส่วนรถไฟฟ้าสายสีทองซึ่งได้เปิดบริการแล้วจะช่วยส่งเสริมให้ลูกค้าจากทั่วกรุงเทพและปริมณฑล เดินทางเข้ามาใช้บริการได้สะดวกสบายอย่างต่อเนื่อง หากมีการเปิดประเทศในปีนี้ และมีนักท่องเที่ยวเข้ามา ยิ่งจะส่งผลให้กิจการของไอคอนสยามเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกด้วย

สำหรับ สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นเช่นกัน และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าทั่วประเทศ เพราะร้านลักซ์ซูรี่แบรนด์เลือกเปิดร้านกับทางสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต เป็นแห่งแรก และแห่งเดียวในไทย ส่งผลให้ยอดขายทะลุเป้ากว่าที่คาดไว้ มีจำนวนลูกค้าสม่ำเสมอต่อเนื่องและยอดจับจ่ายต่อคนอยู่ในระดับสูงจึงส่งผลให้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาแผนการขยายพื้นที่เฟส 2 เนื่องจากมีลักซ์ซูรี่แบรนด์ประสงค์จะเปิดร้านค้าในสยาม พรีเมียม เอาท์เล็ตอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่เติบโตท่ามกลางวิกฤตการณ์โควิด-19 ของศูนย์การค้าของกลุ่มสยามพิวรรธน์ทุกศูนย์ในปลายปี 2564 แสดงถึงความแข็งแกร่งของสยามพิวรรธน์ที่มีฐานลูกค้าที่ทรงพลังซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ควบคู่ไปกับความสำเร็จของกลยุทธ์กิจกรรมส่งเสริมการตลาด และการสร้างแพลตฟอร์ม ONESIAM SuperApp ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2564 ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนที่ช่วยกระตุ้นยอดการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งทำให้เข้าถึงการขยายตลาดสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่เจเนอเรชั่น Y และ Z โดยในปีนี้กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ตั้งเป้าว่าจะสร้างยอดขายในกลุ่มสมาชิกให้เติบโตโดยรวมเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 30%

นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์จะเดินหน้าขยายระบบนิเวศธุรกิจพรีเมียมระดับโลก (ecosystem) อย่างเต็มกำลัง ซึ่งกลางปีนี้จะขยายไปครอบคลุมหลากหลายธุรกิจร่วมกับพันธมิตรชั้นนำกว่า 100 บริษัท 13 อุตสาหกรรม ผ่านแพลตฟอร์ม ONESIAM SuperApp ที่จะช่วยขยายฐานและให้บริการแก่ลูกค้ากำลังซื้อสูงให้กว้างมากขึ้น ลูกค้าสามารถใช้ VIZ Coin จากซูเปอร์แอป เพื่อสิทธิประโยชน์มากมาย และทำให้ ONESIAM SuperApp เข้ามาเติมเต็ม และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าได้ครบทุกมิติ ทั้งสิ้นนี้เป็นการแสดงถึงวิสัยทัศน์ของการเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพพร้อมทีมงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ที่สามารถสร้างธุรกิจใหม่ๆ และก้าวข้ามทุกวิกฤตการณ์ได้เสมอ

Back to top button