“สภาดิจิทัล” ตั้งเป้าปี 68 ดึงเม็ดเงินเข้าไทย 3 แสนล. ลุยโรดโชว์-สร้างความเชื่อมั่นนลท.
“สภาดิจิทัล” ตั้งเป้าเม็ดเงินไหลเข้าไทยภายในปี 68 แตะ 3 แสนลบ. หลังผลักดันกฎหมายยกเว้นภาษี Capital Gains สำเร็จ เร่งเดินหน้าโรดโชว์ชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุน สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนไทย-ต่างประเทศ
สภาดิจิทัลฯ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยแสดงความชื่นชมรัฐบาลและขอบคุณพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมผลักดันกฎหมายยกเว้นภาษี Capital Gains เป็นเวลา 10 ปี แก่นักลงทุนไทยและต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพไทยจนสำเร็จ
โดยเมื่อ 14 มิถุนายน 2565 รัฐบาลได้ประกาศพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) ยกเว้นภาษี Capital Gains เป็นเวลา 10 ปี ถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกในการรวมพลังช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพิ่มขีดความสามารถในการระดมทุนสู่วิสาหกิจเริ่มต้น หรือสตาร์ทอัพได้มากขึ้น คาดกระตุ้นการจ้างงานทักษะดิจิทัลขั้นสูงในประเทศ 500,000 ราย ดึงดูดต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทยกว่า 10,000 ราย เชื่อมั่นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาทในปี 2568 เร่งเดินหน้าโรดโชว์และกิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนกลุ่มเป้าหมายทั้งไทยและต่างประเทศ รวมทั้งกลุ่มสตาร์ทอัพทันที
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาดิจิทัลฯ ขอขอบคุณพันธมิตรทุกรายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ภาคธุรกิจเงินร่วมลงทุน และนักลงทุนรายบุคคล และบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพไทยกว่า 20 บริษัท ที่ได้ร่วมกันผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการระดมทุนในวิสาหกิจเริ่มต้นหรือสตาร์ทอัพจนสำเร็จเป็นรูปธรรมในวันนี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย
รวมถึงยังเป็นการสร้างไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากปัจจุบันหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาทิ สิงค์โปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย มีนโยบายยกเว้นภาษี Capital Gains Tax ทำให้ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้จำนวนมาก
นอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้สตาร์ทอัพไทยระดมทุนจากนักลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตแข็งแกร่งสู้กับประเทศอื่นได้ และยังเป็นโอกาสที่ดีในการดึงคนเก่งจากทั่วโลกมาร่วมสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจไทย โดยตั้งเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนใน Tech Companies ในภูมิภาคอาเซียน เข้ามาลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพไทย มั่นใจจะมีจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนตำแหน่ง และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม 790,000 ล้านบาท
ทั้งนี้สภาดิจิทัลฯ เตรียมวางแผนเดินหน้ากระตุ้นให้เกิดการลงทุนในสตาร์ทอัพไทย โดยเตรียมออกโรดโชว์เชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลก อาทิ อเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ นอกจากนี้เตรียมตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพื่อเป็นแหล่งในการให้คำปรึกษาตอบคำถาม ทั้งช่วยประสานงานกับภาครัฐในเรื่องที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการจัดทำข้อมูลและคู่มือการใช้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ เป็นต้น และสิ่งท้าทายสำคัญคือการระดมสรรพกำลัง ให้ภาคเอกชนต่างๆ เร่งมาใช้ประโยชน์จากกฎหมายเหล่านี้ให้มากที่สุด
โดยสภาดิจิทัลฯ ยังมีภารกิจสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล การพัฒนาบุคคลากรด้านดิจิทัล ให้เกิดการประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันมีความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ทั้งการลงทุนและกำลังคนในมิติอื่นๆ อาทิ Startup สามารถออกหุ้นแปลงสภาพให้แก่นักลงทุนได้, Startup สามารถออกหุ้นแก่พนักงานได้ (ESOP), การส่งเสริมให้เกิดการระดมทุนผ่านตลาดหุ้นใหม่สำหรับ Startup และ SME ภายใต้ชื่อ LIVE EXCHANGE, ส่งเสริมการระดมทุนจากประชาชนที่อยู่ในรูปของหุ้นและหุ้นกู้ ผ่าน CROWDFUNDING PORTAL ที่จดแจ้งผ่าน ก.ล.ต. , สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับค่าการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะลูกจ้าง และการจ้างงานสายเทคโนโลยี, การสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับค่าอบรม และค่าจ้างบุคลากรด้านเทคโนโลยี
ทั้งนี้สภาดิจิทัลฯ จะร่วมผลักดันมาตรการเหล่านี้ร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งจะเป็นตัวแทนรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน และสะท้อนให้เกิดการปรับปรุงมาตรการเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อไป