CKP ติดทำเนียบ “ESG100” 2 ปีซ้อน เปิดแผน 5 ปีก้าวสู่ความยั่งยืน
CKP ติดทำเนียบหุ้น ESG100 จาก “ไทยพัฒน์” 2 ปีซ้อน เปิดแผน 5 ปี “กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน" ดันกำลังการผลิตไฟฟ้าแตะ 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 67
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดและมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่งของภูมิภาค ได้รับการคัดเลือกจาก “สถาบันไทยพัฒน์” ให้เข้าอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 (Environmental, Social and Governance) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ถือเป็นการจัดอันดับบริษัทหลักทรัพย์ด้านการพัฒนาความยั่งยืนครั้งสำคัญของตลาดทุนไทย
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ CKP กล่าวว่า ซีเค พาวเวอร์ ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี เราทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาแผนกลยุทธ์และกำหนดวิสัยทัศน์สู่ความยั่งยืนที่เชื่อมโยงกับผลการดำเนินงานของบริษัท ทั้งในด้านความเสี่ยง ศักยภาพในการแข่งขัน และการได้รับการยอมรับจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรลุพันธกิจสำคัญของซีเค พาวเวอร์ คือ การเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ควบคู่กับการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในชุมชนและสังคม
ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นดังกล่าว CKP ได้นำแนวคิดเรื่อง ESG (Environmental, Social and Governance) นี้ มาพัฒนาเป็นแผนการดำเนินงาน 5 ปี สู่ความยั่งยืน (พ.ศ.2565-2569) ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก คือ ซี (C) เค (K) พี (P) ประกอบด้วย
1.มิติสิ่งแวดล้อม C ไฟฟ้าสะอาด (Clean Electricity) ผ่านการดำเนินธุรกิจโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการรักษาสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะที่คงศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีเสถียรภาพ
2.มิติสังคม K เพื่อนบ้านที่ดี (Kind Neighbor) ด้วยการทำงานอย่างมีสำนึกรับผิดชอบ ทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างคุณค่าให้กับชุมชน สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเคารพต่อสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากลตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ
3.มิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ P พันธมิตรที่ยั่งยืน (Partnership for Life) มุ่งเสริมศักยภาพให้พร้อมรับมือกับความท้าทายและสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศไทยและภูมิภาค รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีและเป็นธรรมแก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ การทำงานของบริษัทมีผลสะท้อนที่น่าภูมิใจ จากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์ ที่ได้ประกาศให้เป็นหนึ่งในหุ้น ESG100 ประจำปี 66 ในกลุ่มทรัพยากร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 (พ.ศ.65-66) โดยคัดเลือกจากการประเมินบริษัทจดทะเบียนจำนวน 888 แห่ง
สำหรับเกณฑ์ในการประเมินใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ESG ผนวกเข้ากับข้อมูลทางการเงิน เพื่อประเมินผลการดำเนินงานที่สัมพันธ์กับประเด็นด้าน ESG และตัวเลขผลประกอบการของบริษัท ตามแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับกำลังขับเคลื่อนองค์กรสู่ CKPower NET ZERO EMISSIONS 2050 – การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.93
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า ไทยพัฒน์ขอแสดงความยินดีกับ CKP ที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 และเป็น 1 ใน 8 บริษัทกลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคที่ได้รับการคัดเลือก จากกลุ่มพลังงานฯ ทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ 67 บริษัท สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีการดำเนินงานด้าน ESG ที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง มีการศึกษาเพื่อเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) สำหรับใช้เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าที่ 7 การเข้าถึงพลังงานสะอาด (SDG 7: Affordable and Clean Energy)”
ทั้งนี้ CKP ตั้งเป้าว่าภายในปี พ.ศ.67 จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 4,800 เมกะวัตต์ โดย 95% จะผลิตจากพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เพิ่มเติมจากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3,627 เมกะวัตต์ โดย 93% ของกำลังการผลิตมาจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้กำลังการผลิตติดตั้งใหม่ทั้งหมดจะมาจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานลม ตลอดจนการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ซึ่งทุกโครงการจะใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
โดยล่าสุดเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา CKP ยังคงรักษาอันดับเครดิตองค์กรที่ “A” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” จาก ทริสเรทติ้ง (TRIS Rating) สะท้อนการคาดการณ์โดยทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของ CKP จะสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย มีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการลงทุน