NAT เดินสายโรดโชว์ทั่วประเทศ ก่อนขายไอพีโอ 92 ล้านหุ้น

NAT เดินสายจัดโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลธุรกิจ-ข้อมูลทางการเงินแก่นักลงทุน 10 จังหวัดทั่วประเทศ วันที่ 15 - 26 ม.ค. 67 ก่อนเตรียมขาย IPO 92 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้า “ตลาดหลักทรัพย์ mai” ฟาก APM ที่ปรึกษาการเงิน มั่นใจพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง กระแสตอบรับดี


นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NAT เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน หรือ โรดโชว์ เพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO  จำนวน 92 ล้านหุ้น โดยมีกำหนดการเดินทางทั้งสิ้น 10 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี , นครปฐม , ราชบุรี , พิษณุโลก , นครสวรรค์ , นครราชสีมา , ขอนแก่น , เชียงใหม่ , สงขลา และ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 15 มกราคม – 26 มกราคม 2567

นางสาวมธุรส สาราณียะธรรม กรรมการผู้จัดการ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะ NAT ถือเป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่น เนื่องจากมูลค่าตลาดของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ในระดับองค์กรที่มีอัตราการเติบโตสูง ขณะที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เป็นฐานลูกค้าของ NAT ต่างมีแผนปรับปรุงระบบเพื่อพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นโอกาสของบริษัทที่จะนำเสนอสินค้า บริการ และ โซลูชันทางเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าการเติบโตได้อีกมาก

โดยปัจจุบัน NAT มีทุนจดทะเบียน 164 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 118 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 92 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.05% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัท และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

ด้าน นายสุธี อภิชนรัตนกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NAT เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Infratech ซึ่งมุ่งเน้นการประกอบธุรกิจบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดหา จำหน่ายอุปกรณ์พร้อมติดตั้ง และรับเหมาวางระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technology System Integration) ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับโลก รวมทั้งให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น บริการเจ้าหน้าที่ไอที (IT Outsourcing) , บริการเดินสายระบบเน็ตเวิร์ค (Cabling System) , บริการงานด้านระบบภายในอาคาร (Mechanical and Electric : M&E) และบริการให้เช่าอุปกรณ์ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารสำหรับใช้ภายในสำนักงาน

ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทที่เป็นหน่วยงานภาครัฐโดยมีสัดส่วนประมาณ 85% ที่มีแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตและมีความสามารถ ในการทำกำไรให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม

ขณะที่ผลประกอบการย้อนหลังช่วงปี 2563 – 2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 492.64 ล้านบาท 451.36 ล้านบาท และ 1,093.23 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 56.78 ล้านบาท 26.68 ล้านบาท และ 100.62 ล้านบาท ตามลำดับ โดยบริษัทมีรายได้เติบโตเป็นไปตามแผนจากการเข้ารับงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,232.71 ล้านบาท กำไรสุทธิ 97.50 ล้านบาท

“หลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะสามารถขยายธุรกิจและให้บริการ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และการเข้ารับงานโครงการต่างๆ กับกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในการนำเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุนทั่วประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจในธุรกิจและการเติบโตของบริษัท รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และความต้องการพัฒนาระบบเทคโนโลยี ในการเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุค Digital Transformation ได้เป็นอย่างดี“ นายสุธี กล่าว

Back to top button