MINT:ผ่านกำไรต่ำสุดของปีไปแล้วแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 42 บาท

MINTมองกำไรหลักเติบโตดีมากในไตรมาส 3/59 และต่อเนื่องยัง 4/59 หลังกำไรหลักเติบโตเล็กน้อยในไตรมาส 2/59 ซี่งเป็นจุดต่ำสุดของปี เราคาดกำไรหลักไตรมาส 3/59 จะเติบโตราว 46% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า QoQ จากการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรม Tivoli ในช่วงไฮซีซั่นทั้งสามเดือนของไตรมาส 3/59


บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (25 ส.ค.) ว่า บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ผู้บริหารชี้ตัวเลขการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงเดือนก.ค. และต้นเดือนส.ค.เป็นที่น่าพอใจมาก โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องของโรงแรมเฉลี่ยรวมคาดพลิกกลับมาเติบโต 4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ (มาจากอัตราการเข้าพักคาดเติบโต 1% และ ราคาเข้าพักเฉลี่ยโต 3%) เมื่อเทียบกับตัวเลขที่หดตัวลง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มาตลอดในช่วงไตรมาส 4/58 ถึงไตรมาส 2/59

เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของกลุ่มโรงแรม Tivoli (12โรงแรมในเครือที่โปรตุเกส) โดยอัตราการเข้าพักกลุ่มโรงแรม Tivoli ก้าวกระโดดขึ้นจาก 69% ในไตรมาส 2/59 มาอยู่ที่ 80% ในเดือนก.ค. และ 88% ในเดือนส.ค. โดยช่วงไฮซีซั่นอยู่ระหว่างเดือนก.ค. ถึงต.ค.

ทั้งนี้รายได้เฉลี่ยต่อห้องของบริษัทที่ดำเนินการเองคาดเติบโต 5%  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วงเดือนก.ค. และต้นเดือนส.ค. สำหรับธุรกิจอาหารในเดือน ก.ค-ต้น ส.ค ยังคงแข็งแกร่งใกล้เคียงไตรมาส 2/59  โดยยอดขายสาขาเดิมในไทยเติบโตมากกว่า 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ยอดขายสาขาเดิมเติบโตน้อยกว่า 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

มองกำไรหลักเติบโตดีมากในไตรมาส 3/59 และต่อเนื่องยัง 4/59 หลังกำไรหลักเติบโตเล็กน้อยในไตรมาส 2/59 ซี่งเป็นจุดต่ำสุดของปี เราคาดกำไรหลักไตรมาส 3/59 จะเติบโตราว 46% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า QoQ จากการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรม Tivoli ในช่วงไฮซีซั่นทั้งสามเดือนของไตรมาส 3/59

ทั้งนี้หากมองในอดีตพบว่า MINT สามารถรายงานกำไรหลักทำสถิติใหม่ในช่วงระหว่างเดือนต.ค.-ธ.ค.ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เราจึงมองบริษัทน่าจะรายงานกำไรหลักทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในไตรมาส 4/59 (เพิ่มขึ้น 30% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 90% QoQ) อย่างไรก็ตามบริษัทอาจมีการรับรู้กำไรพิเศษที่มีนัยสำคัญจาการเข้าซื้อโรงแรมในแอฟริกา แต่เรายังไม่สามารถประเมินช่วงเวลาได้

MINT เป็นตัวอย่างบริษัทที่มีธุรกิจที่สร้างรายได้จากทำเลที่กระจายตัวได้ดี ได้แก่ 53% ของรายได้ครึ่งแรกปี 2559 มาจากธุรกิจในไทย และอีก 47% มาจากธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งกว่า 50% ของรายได้ธุรกิจต่างประเทศมาจากรายได้โรงแรม ซึ่งรายได้โรงแรมมาจาก 34% จากประเทศไทย 20% จากประเทศออสเตรเลีย 11% จากประเทศฝั่งยุโรป 6% 

Back to top button