SVI เข้าสู่ภาวะปกติ-ลุ้น Q4/59 กำไรสูงสุดชูเป็นหุ้น turn around แนะซื้อเป้า 6.6 บ.
SVI เข้าสู่ภาวะปกติ-ลุ้น Q4/59 กำไรสูงสุดชูเป็นหุ้น turn around แนะซื้อเป้า 6.6 บ.
บล.เคทีบี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(7ก.พ.) ว่า บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ในช่วงปีที่ผ่านมาหลังประสบเหตุอัคคีภัยตอนปลายปี 2557 บริษัทก็มาติดปัญหาคอขวดอีก นั่นก็คือ ตัว Tester ถูกไฟไหม้เสียหายหมด ทำให้บริษัทมีกำไรปกติค่อนข้างต่ำ แต่โชคยังดีที่บริษัทได้ทำประกันอัคคีภัยไว้ ทำให้ได้เงินชดเชยจากเหตุไฟไหม้ทั้งหมดกว่า 3,755 ล้านบาทซึ่งเริ่มได้รับตั้งแต่ 4Q14 กำไรสุทธิจึงสูงมากในปี 2558 และ 2559 โดยเงินชดเชยดังกล่าวได้รับครบแล้วตั้งแต่ 3Q16 ดังนั้น กำไรสุทธิของ SVI ใน ไตรมาส4/59 จะกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว
อีกทั้งปัญหาคอขวดที่เคยกังวลกันก่อนหน้านี้ได้หมดไปแล้วเพราะตัว tester กลับมาใช้งานได้ 100% เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ที่เคยค้างส่งในช่วงไตรมาสที่ผ่านๆ มาจะถูกทยอยส่งออกมากขึ้น เราจึงคาดว่ากำไรปกติ ไตรมาส4/59 ของ SVI จะทำสถิติสูงสุดของปีที่ระดับ 144 ล้านบาท (+ 373.7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, 430.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)
แนวโน้มกำไรปกติปี 2560 เติบโตได้ต่อ จากการขยายไลน์สินค้า และบริษัทลูกในแถบสแกนดิเนเวีย รวมทั้งโรงงานใหม่ที่กำลังจะเปิดในกัมพูชา
สำหรับแนวโน้มกำไรปกติปี 2560 มองว่าจะเติบโตได้ต่อ เนื่องจาก 1) ปัญหาคอขวดที่หมดไปทำให้ส่งสินค้าออกได้ตามปกติที่ผลิตได้ 2) การแตกไลน์สินค้ามากขึ้นซึ่งจากไตรมาส3/59 ที่ผ่านมาก็มีการผลิตสินค้าใหม่ไปกว่า 6 ชนิดแล้ว และในปี 60 ก็จะมีลูกค้าด้าน Automotive เข้ามาเพิ่ม 3) จากผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยในแถบสแกดิเนเวียที่ดีขึ้น อย่างบริษัท Seidel ที่ SVI เข้าไปซื้อกิจการไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 คาดว่าจะมี margin ที่ดีขึ้น เพราะมีการปรับปรุง facility และซื้อเครื่องจักรใหม่ นอกจากนี้การเข้าไปซื้อกิจการดังกล่าวมายังทำให้ตัว SVI ที่ประเทศไทยได้รับลูกค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย และ 4) โรงงานใหม่ในกัมพูชาที่กำลังจะเปิดดำเนินการในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งค่าจ้างแรงงานค่อนข้างถูก เราจึงมองว่ากำไรปกติปี 2560 จะสามารถเติบโตไปอยู่ที่ 757 ล้านบาท (+205.8%) ได้
มีมุมมองว่าแนวโน้มกำไรปกติของ SVI จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ ไตรมาส 4/59 นี้จากปัญหาต่างๆ ที่หมดไปแล้วและการขยายตัวของธุรกิจ จึงเริ่มต้นให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท (PER เฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 19.63 เท่า และ EPS ปีนี้ 0.33 บาท)