NOBLEโบรกฯชี้2ปีนี้พลิกเป็นขาดทุนปรับลดคำแนะนำเชิงลบFully Valued
บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ (22 เม.ย.) ว่า บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE คาดว่าจะไม่สามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไว้ได้ เพราะด้านฐานทุนที่มีโอกาสที่จะลดลง ตามยอดขายรอโอน (Backlog) ที่ 18 พันล้านบาท ส่วนใหญ่กว่าจะโอนได้เริ่มตั้งแต่ ไตรมาส4/59 คือ โนเบิล เพลินจิต นั่นคือ กำไรที่น้อยหรือขาดทุนจะบั่นทอนให้ฐานทุนลดลงนั่นเอง ทางด้านเงินกู้ก็ยังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะอยู่ในช่วงการลงทุนทั้งการก่อสร้างคอนโดมิเนียมหลายแห่ง และการซื้อที่ดินเพิ่มเติมในการเปิดขายโครงการใหม่ในอนาคต
บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ (22 เม.ย.) ว่า บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE คาดว่าจะไม่สามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไว้ได้ เพราะด้านฐานทุนที่มีโอกาสที่จะลดลง ตามยอดขายรอโอน (Backlog) ที่ 18 พันล้านบาท ส่วนใหญ่กว่าจะโอนได้เริ่มตั้งแต่ ไตรมาส4/59 คือ โนเบิล เพลินจิต นั่นคือ กำไรที่น้อยหรือขาดทุนจะบั่นทอนให้ฐานทุนลดลงนั่นเอง ทางด้านเงินกู้ก็ยังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะอยู่ในช่วงการลงทุนทั้งการก่อสร้างคอนโดมิเนียมหลายแห่ง และการซื้อที่ดินเพิ่มเติมในการเปิดขายโครงการใหม่ในอนาคต
โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนปลายปี 58 เป็น 3.7 เท่า เทียบกับสิ้นปี 57 ที่ 2.1 เท่า ซึ่งยังไม่เกินตามข้อกำหนดของหุ้นกู้ ส่วนปลายปี 59 จะเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 4.4 เท่า ซึ่งเกินกว่าตามข้อกำหนดของหุ้นกู้ ด้วยสมมุติฐานให้บริษัทใช้เงินลงทุนในงวดปีนี้และปีหน้าในมูลค่า 2.7 และ 2.2 พันล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้คาดว่าปีนี้พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ตั้งแต่ที่เราเริ่มวิเคราะห์หลักทรัพย์นี้ โดยปี 58 เป็นขาดทุนสุทธิ 139 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยไม่ถึง 1 พันล้านบาท เป็น 980 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีโครงการที่ชัดเจนในการเริ่มโอนได้มากๆ ยกเว้นคอนโดเดิมๆที่เหลือโอน รวมทั้งมีการเปิดขายโครงการแนวราบคือ โนเบิล เกเบิล วัชรพล มูลค่า 2 พันล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายคงที่โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายขาย-บริหารและดอกเบี้ยจ่ายที่อยู่ในระดับสูงจะกดดันให้เป็นขาดทุนได้
ส่วนปี 59 ก็เป็นขาดทุนสุทธิแต่น้อยลง เราคาดว่าเป็น 107 ล้านบาท เนื่องจากเริ่มรับรู้รายได้จาก โนเบิล เพลินจิตได้บางส่วน เราคาดว่ารายได้จากการขายที่อยู่อาศัยเป็น 1.5 พันล้านบาท ที่ยังไม่มาก เพราะปกติคอนโดที่มีราคาสูง กว่าที่ลูกค้าจะตรวจเสร็จเพื่อรับโอนต้องใช้เวลานานและเหลือเพียงไตรมาส 4 ไตรมาสเดียวในรอบปีที่มีการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์
คาดว่าบริษัทจะได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ เพราะแม้บริษัทจะมีผลขาดทุนในปีนี้และปีหน้า ตามที่เราคาดการณ์ และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนสูงกว่าข้อกำหนดตามหุ้นกู้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระแสเงินสด บริษัทยังสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ตามปกติ เพราะหากพิจารณาตามงบการเงินปี 57 มีเงินสดในมือ 2.6 พันล้านบาท วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกอีก 6.2 พันล้านบาท และBacklog ที่รอโอนอีก 18 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทมีภาวะดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ทั้งหมดที่ 560 ล้านบาทในปี 57 และปี 58 คาดว่าเป็น 760 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 60 จะกลับมามีกำไรที่ดี เนื่องจากเป็นปีที่โอนโนเบิล เพลินจิต เต็มที่ ตามสมมุติฐานให้โอนได้ 60% ของมูลค่าโครงการตั้งต้นที่ 14 พันล้านบาท (ปัจจุบันเพิ่มเป็น 17 พันล้านบาท ตามการปรับราคาขายขึ้น) จากยอดขายปัจจุบันที่ 9.8 พันล้านบาท หรือ 70% คาดการณ์กำไรปี 60 เป็นประมาณ 773 ล้านบาท หรือ 1.69 บาทต่อหุ้น
ปรับลดคำแนะนำในเชิงลบคือ เต็มมูลค่า (Fully Valued) จากเดิม ซื้อ ราคาพื้นฐานแม้ได้สะท้อนโครงการ โนเบิล เพลินจิต ที่คาดว่าจะโอนได้มากในปี 60 คิดลดกลับมาในปี 58 จะได้ราคาพื้นฐานเป็นเพียง 12.40 บาท ราคาหุ้นขณะนี้สูงกว่า 7% คาดว่าจะไม่จ่ายปันผลใน 2 ปีข้างหน้า สังเกตได้ว่าในงวดปี 57 บริษัทจ่ายปันผลเพียง 0.10 บาท คิดเป็นอัตราการจ่าย (payout ratio) เป็น 28% จากปีก่อนหน้าๆที่มากกว่า 40% ดังนั้นหากปีนี้และปีหน้ามีผลขาดทุน ก็คาดว่ามีโอกาสไม่จ่ายได้ อีกทั้งในปี 58 มีหนี้ที่ครบกำหนดชำระประมาณ 2 พันล้านบาท จึงควรติดตามว่าบริษัทจะยังสามารถจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นได้ตามปกติในอนาคตได้หรือไม่