SVI ลูกค้าใหม่หนุนรายได้ครึ่งหลังโตแกร่ง แนะถือเป้า 5.95 บ.

SVI ลูกค้าใหม่หนุนรายได้ครึ่งหลังโตแกร่ง แนะถือเป้าหมาย 5.95 บาท


บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(5ก.ค.) ว่า บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI คงเป้าการเติบโตของรายได้ปี 2017 ราว 25% จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ หลังแก้ไขปัญหาคอขวดเสร็จสิ้น นำโดยมีสินค้ากลุ่ม Industrial ราว 10% Medical 6% Microelectronics 5% Audio 2% และ Wind turbine 2%

ส่วนปี 2018 จะเติบโตจากกลุ่ม Medical (Hearing loss & Hearing Aid), Communication (Digital Smart Home) Industrial (Airport Traffic controlling system) และ Automotive (Lighting, Liquid Measuring System) เป็นหลัก ซึ่งได้ลูกค้าใหม่ทั้งจากอิตาลีและญี่ปุ่น

แนวโน้มรายได้เติบโตแข็งแกร่งในช่วง 2 ไตรมาสข้างหน้า อัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาส2/60 อยู่ที่ราว 70% ไม่ได้สูงมากนักเนื่องจากยังเป็นเพียงช่วงทดลองการผลิตสินค้าใหม่ๆ ซึ่งคาดช่วยให้รายได้น่าจะเติบโตได้เล็กน้อยราว 10% เทียบไตรมาสก่อนหน้า

ขณะที่ช่วงไตรมาส3/60 คาดกำลังการผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 80-85% เนื่องจากจะมีเครื่องจักรเพิ่มขึ้น 5 ไลน์และรับรู้รายได้จากลูกค้าใหม่เต็มที่บวกกับเป็นช่วง High Season ของธุรกิจอยู่แล้ว โดยรวมคาดรายได้จะเติบโตสูง 25-30% ใน ไตรมาส3/60 โดยมีปัจจัยลบเป็นค่าเงินบาทที่อาจจะกดดันอัตรากำไรขั้นต้นได้

R&D 2 แห่ง ยังไม่ออกผลในปีนี้ Design House ทั้ง 2 แห่งที่ได้มาจากการควบรวม Seidel ในประเทศออสเตรียและสโลเวเนียยังอยู่ระหว่างการคิดค้นพัฒนาสินค้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างวิจัยและออกแบบสินค้ากลุ่ม Charging system และ Battery management system ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะสามารถต่อยอดได้ในอนาคต

ยังใช้ประโยชน์จากฝั่งยุโรปไม่ครบ การ Synergies ระหว่าง SVI และ Seidel นอกจากเพื่อกระจายความเสี่ยงของฐานลูกค้าและรายได้แล้วที่ได้รับประโยชน์ไปแล้ว อีกด้านหนึ่งคือการลดต้นทุนยังทำได้ไม่เต็มที่เนื่องจากฝั่งยุโรปมีฐานข้อมูลที่แตกต่างกันทั้งด้านของภาษาและวัตถุดิบที่ใช้ โดยระบบฐานข้อมูลดังกล่าวจะรวบรวมกันเสร็จสิ้นและเริ่มใช้ประโยชน์ในช่วงปลายปี 2017 ผ่านการรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบสำคัญในการผลิตหลัก ๆ ที่สามารถใช้ร่วมกันได้ เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองให้มากขึ้น อีกทั้งจะนำเอาระบบหลังบ้านมาไว้ที่ประเทศไทยแทนเพื่อประหยัดต้นทุน

SVI กัมพูชาอาจยังไม่ช่วยเรื่องการลดต้นทุนมากนักในระยะแรก โดยตั้งเป้ารายได้ราว 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2018 ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นสินค้าที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก แต่เนื่องจากต้องใช้บุคลากรที่มีคุณภาพในการไปสร้างฐานความรู้ก่อน ซึ่งจะเป็นคนไทยส่วนหนึ่งและกัมพูชาที่มีฝีมือราว 200 คน ใน 1-2 ปีแรกจึงอาจจะไม่เห็นประโยชน์จากต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าไทย 30% มากนัก

คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมายกลางปี 2017 ที่ 5.95 บาท จากเดิม 5.70 บาท อิง PER ที่ 15 เท่า เรามีมุมมองเชิงบวกต่อความชัดเจนของการเติบโตของรายได้มากขึ้นจากภาพการรับรู้รายได้ของลูกค้าใหม่ที่จะทยอยเข้ามาตั้งแต่ช่วงไตรมาส3/60-ไตรมาส4/60 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดีราคาหุ้นปัจจุบัน ปรับเพิ่มขึ้นจนมี Downside 7% ต่อราคาเป้าหมายเราจึงแนะนำเพียง “ถือ”

Back to top button