PTTGC โบรกอัพคาดการณ์กำไรปีนี้เป็นโต 34% แนะซื้อเป้า80บ.
PTTGC โบรกอัพคาดการณ์กำไรปีนี้เป็นโต 34% แนะซื้อเป้า 80 บ.
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(6 ก.ค.) ว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC คาดไตรมาว2/60 จะมีกำไรสุทธิที่ 7.0 พันล้านบาท +43% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากช่วงก่อนมีหยุดซ่อมโรงงานเยอะ ขณะที่ -47% Q-Q เนื่องจากมีการหยุดซ่อมโรงงานทั้งในธุรกิจโอเลฟินส์ และ อะโรมาติกส์ ทำให้คาดอัตราการใช้กำลังผลิตจะลดลงเป็น 82% และ 65% ตามลำดับ ขณะที่ Margin ก็น่าจะชะลอลงตามราคาผลิตภัณฑ์ HDPE Ethylene ที่ -4% และ -9% ตามราคาน้ำมัน และ ส่วนต่างราคา PX BZ ที่ -9% และ -26% ส่วนธุรกิจโรงกลั่น คาดค่าการกลั่นทรงตัว แต่น่าจะมีผลขาดทุนสต๊อก 938 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ -6% ขณะที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่า น่าจะทำให้มีกำไร FX 250 ล้านบาท
จากข่าวการรับโอนกิจการ 6 บริษัทจาก PTT ตามโครงการ Asset Injection เรามีมุมมองบวกต่อประเด็นดังกล่าว การโอนกิจการครั้งนี้เสร็จสิ้นเร็วกว่าคาดการณ์เดิมช่วงเดือนต.ค. ซึ่งสำหรับผลประกอบการของกิจการทั้ง 6 นี้ PTTGC สามารถบุ๊คกำไรเข้ามาทันทีตั้งแต่ 3Q17 เพราะเป็นบริษัทที่ดำเนินการอยู่แล้ว คาดว่าทั้ง 6 กิจการจะเพิ่มกำไรให้ PTTGC 2-3 พันล้านบาทต่อปี หลักๆมาจากบริษัท HMC ที่ผลิต PP กำลังการผลิต 772 KTA (ถือหุ้น 41.44%) ที่น่าจะมีกำไรปีละ 5 พันล้านบาท ส่วนบริษัทอื่นๆได้แก่ PTTAC เป็นผู้ผลิตปิโตรเคมี Acrylonitrile 200 KTA Methacrylate 70 KTA PTTMCC เป็นผู้ผลิตไบโอพลาสติก PBS 20 KTA PTTPL ดำเนินธุรกิจด้าน logistic PTTPM ให้บริการด้านการตลาด และ PTTME ที่ดูแลด้านวิศวกรรม
ปรับประมาณการกำไรปี 2017 ขึ้น เพื่อสะท้อนผลประกอบการ 1Q17 ที่แข็งแกร่ง และ โครงการ Asset injection ที่เข้าซื้อกิจการจำนวน 6 บริษัทจาก PTT ดำเนินการแล้วเสร็จเร็วกว่าคาด ทำให้คาดกำไรสุทธิที่ 3.4 หมื่นล้านบาท +34% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากผลการดำเนินงานของทั้ง 3 ธุรกิจหลักที่จะขยายตัวทั้งจากอัตราการใช้กำลังการผลิต Margin และ ราคาผลิตภัณฑ์
ปรับราคาเหมาะสมปี 2017 ขึ้นเป็น 80.0 บาท/หุ้น (EV/EBITDA 7.0 เท่า) และ คงคำแนะนำซื้อ แม้ผลประกอบการอาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้วพร้อมกับ Margin ของปิโตรเคมีใน 1Q17 อย่างไรก็ตาม หากดูภาพรวมทั้งปีผลประกอบการน่าจะยังขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากช่วงที่เหลือของปีการหยุดซ่อมโรงงานจะลดลง และ ราคาน้ำมันน่าจะฟื้นตัวเข้าสู่สมมติฐานเราทั้งปีที่เฉลี่ย US$55/บาร์เรล ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำซื้อ