SSIโบรกฯคาด1Q58จะขาดทุนหนักภาวะเหล็กยังตกต่ำกดดันต่อแนะขาย
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(6 พ.ค.58) ว่า บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)หรือSSI คาดจะมีผลประกอบการ ไตรมาส1/58 ที่ขาดทุนหนักขึ้น 2,697 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 1,552 ล้านบาท และ ปีก่อนที่ขาดทุน 1,397 ล้านบาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(6 พ.ค.58) ว่า บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI คาดจะมีผลประกอบการไตรมาส1/58 ที่ขาดทุนหนักขึ้น 2,697 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 1,552 ล้านบาท และ ปีก่อนที่ขาดทุน 1,397 ล้านบาท
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำอย่างหนักของอุตสาหกรรมเหล็ก และ ลูกค้าท่อเหล็กเผชิญการดัมพ์ตลาดจากประเทศจีน ผลขาดทุนแบ่งเป็น ธุรกิจเหล็กรีดร้อนในไทยคาดจะขาดทุนเท่ากับ 1,069 ล้านบาท เนื่องจากภาวะตกตำของอุตสาหกรรมเหล็กทำให้ปริมาณขาย HRC คาดจะลดลงจากปีก่อนเหลือ 278,000 ตัน (+4%เทียบไตรมาสก่อนหน้า, -40%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ HRC Margin ของโรงงานรีดเหล็ก HRC ในไทยคาดจะลดลงเหลือ 74 เหรียญ/ตัน (-40%เทียบไตรมาสก่อนหน้า, -42%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากราคาขายเหล็ก HRC ลดลงมากกว่าต้นทุนวัตถุดิบ Slab
ในขณะที่โรงถลุงที่อังกฤษคาดจะมีผลขาดทุนเท่ากับ 1,628 ล้านบาท โดย Slab Margin ของโรงถลุงในอังกฤษคาดจะทรุดลงเหลือ 121 เหรียญ/ตัน (-12%เทียบไตรมาสก่อนหน้า, -16%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากราคาขาย Slab ทรุกลงหนัก กว่า ต้นทุนวัตถุดิบ Iron Ore และ Coking Coal
ภาวะตกต่ำอย่างหนักของอุตสาหกรรมเหล็กทั้งต่างประเทศ และ ในประเทศ ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะภาวะเหล็กล้นตลาดในประเทศจีน ทำให้มีเหล็กส่วนเกินจากจีนออกมาตีตลาดทั่วโลก ปัจจุบันสินค้าประเภทเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน มีการเก็บภาษีนำเข้าสูง คือ Anti Dumping และ Safe Guard เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่กลับปรากฏว่าปัจจุบันมีการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปเข้ามาจำหน่ายในไทยมากขึ้น เช่นอุตสาหกรรมท่อเหล็ก จึงกระทบต่อลูกค้าของ SSI นอกจากนี้ภาวะอุตสาหกรรมการผลิต และ ก่อสร้างที่ชะลอตัวในประเทศยังส่งผลกระทบต่อความต้องการเหล็กรีดร้อน คาดผลประกอบการของ SSI ยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับมามีกำไรในช่วงที่เหลือของปี ดังนั้น เราจึงปรับลดประมาณการลดลงอีก
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ SSI คือ มีภาระหนี้ที่สูงในขณะที่ฐานทุนลดลงจากที่ขาดทุนต่อเนื่องจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ขาย เราประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 0.20 บาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ณไตรมาส 4/57 เท่ากับ 0.16 บาท