MCS ระยะยาวดี มีปัจจัยหนุนจากญี่ปุ่นกำไร Q1 แรงจริง แต่ราคาขึ้นมากแล้ว
บล.เอเซีย พลัส มองผลประกอบการไตรมาส 1/58 ของ MCS แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และน่าจะเป็นจุดสูงสุดของปี ด้วยแรงหนุนทั้งในแง่ของปริมาณ และราคาขายที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้นเข้าใกล้ราคาพื้นฐาน จึงปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ
บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (7 พ.ค.) คาดผลประกอบการไตรมาส 1/58 ของบริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS จะมีกำไรสุทธิโดดเด่นถึง 170 ล้านบาท มากกว่ากำไรทั้งปีก่อนหน้า 1 เท่าตัว โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณส่งมอบโครงสร้างเหล็กให้กับลูกค้าญี่ปุ่นที่สูงถึง 13,000 ตัน เป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากดีมานต์ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคก่อสร้างในญี่ปุ่น
ประกอบกับมีงานส่งมอบส่วนหนึ่งตกค้างมาจากช่วงปลายปี ด้านราคาขายเฉลี่ยคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อน เป็น 240,000 เยน/ตัน ซึ่งเป็นผลจากการส่งมอบงานบางโครงการที่มีความยากของงาน ทำให้มีราคาขายที่สูงกว่าปกติ ตรงนี้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะช่วยลบล้างผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการอ่อนค่าของเงินเยนไปได้ จึงประเมินรายได้ในไตรมาส 1/58 ที่ 855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2 เท่าตัว จากไตรมาสก่อน
สำหรับ Gross Margin ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะทำได้ที่ 30% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ หลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นช่วยลดต้นทุนคงที่ต่อหน่วยลงไปได้ โดยรวมฝ่ายวิจัยคาดว่าจะช่วยหนุนให้ผลประกอบการไตรมาส 1/58 เป็นจุดสูงสุดของปี
ตามแผนกำหนดการส่งมอบงาน ฝ่ายวิจัยคาดว่า MCS จะมีปริมาณขายโครงสร้างเหล็กราว 9,000-10,000 ตัน/ไตรมาส ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แม้จะทำให้ผลประกอบการอาจชะลอตัวลงบ้างหากเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/58 แต่ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และทำให้สมมติฐานปริมาณส่งมอบเหล็กของฝ่ายวิจัยในปี 2558 ที่ 42,000 ตัน ยังมีความเป็นไปได้ โดยรวมจึงน่าจะทำให้ผลประกอบการปี 2558 ของ MCS พลิกฟื้นกลับมามีกำไรโดดเด่นอีกครั้ง
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางผลประกอบการระยะยาวของ MCS เมื่อพิจารณาจากงานรอส่งมอบ (Backlog) ที่มีอยู่สูงถึง 1.5 แสนตัน เพียงพอที่จะรองรับรายได้ให้กับ MCS ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ยังไม่นับรวมโอกาสที่ MCS จะได้รับงานใหม่ๆ เข้ามาจากการประมูลงานก่อสร้างสนามกีฬาเพื่อรองรับการแข่งขันโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น
แม้ MCS จะมีปัจจัยบวกอยู่มากทั้งคาดการณ์กำไรโดดเด่นในไตรมาส 1/58 และทิศทางผลประกอบการในระยะยาวที่สดใส แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้นร้อนแรงถึง 63% นับจากต้นปี และเข้าใกล้มูลค่าพื้นฐานปี 2558 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 9.19 บาท (อิง PER 12 เท่า) จึงปรับลดคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ”